วันอังคารที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2562

คุณพระอาทิตย์

คุณพระอาทิตย์

เคยได้ยินประโยคนี้ป้ะ? ชีวิตมันต้องมีอะไรให้ยึดเหนี่ยว  ไม่งั้นคุณก็จะไม่รู้ว่าจะอยู่ไปทำไม อาจจะเป็นเรื่องง่ายๆเช่น เกมที่จะวางขายเดือนหน้า เฝ้ารอหนังสือที่จะออกเล่มต่อไป อัลบั้มเพลงของศิลปินที่ชอบชุดใหม่ หรือรอยยิ้มของใครสักคน’ เราว่าประโยคนี้ไม่ได้เกินจริงเลย ช่วงที่ผ่านมาเรามักจะมีคำถามเกิดขึ้นมาในหัวของตัวเองเสมอว่า คนเราเกิดมาทำไมวะ แล้วทำไมเราต้องเกิดมา เกิดมาก็เหนื่อย ชีวิตไม่เห็นเป็นเหมือนตอนเด็กที่วาดฝันเอาไว้เลย ทำไมเราถึงโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่ได้เป็นไปตามที่เราคาดหวัง แต่ไม่ได้น้อยใจในตัวเองหรืออะไรนะ เพียงแค่เกิดการตั้งคำถามกับตัวเองเฉยๆ เพราะรู้สึกว่าชีวิตที่เป็นอยู่ทุกวันนี้มันก็เรื่อย ๆ ไม่ทุกข์แต่ก็สุขไม่มาก พยายามจะยิ้มและขอบคุณกับทุก ๆเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิต ขอบคุณประสบการณ์และทุกอย่างที่ทำให้เราเติบโตมาเป็นเราจนถึงทุกวันนี้ แต่บางวันก็ยิ้มไม่ออกจริง ๆว่ะ จะร้องก็ร้องไม่ออก เหมือนมันตันอยู่ในอก เราเป็นคนที่ไม่ได้เก็บความรู้สึกอะไรมากมายไว้กับตัวนะ แต่แค่รู้สึกว่าไม่อยากเอาความเศร้าของตัวเองมาทำให้คนรอบข้างเป็นทุกข์เท่านั้นเอง

เรื่องทุกข์ในชีวิตก็คงมีไม่กี่เรื่อง (แน่นอนว่าผู้ชายไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เราเป็นทุกข์แม้เราจะบ้าผู้ชายมากก็ตาม) ทุกข์สุดๆก็คงเป็นเรื่องเรียนนี้แหละ ถามว่าเรียนแล้วมันสนุกมั้ย มันก็สนุกในแบบของมัน แต่มันน่าเบื่อว่ะ แม่งใช้ชีวิตเหมือนเป็นนาฬิกาเรือนหนึ่งที่เดินครบเข็มชี้เลข 12 แล้วก็กลับมานับหนึ่งใหม่อีกครั้งอ่ะ ตื่น ไปเรียน กลับหอ ออกกำลังกาย อ่านหนังสือบ้าง นอน วนลูปเหมือนเดิม ยิ่งกว่าหนังเรื่อง doctor stranger อีก (ไปดู สนุกดี) รู้สึกว่าหมกมุ่นกับการเรียนมากเกินไปจนไม่มีเวลาทำอะไรเลย ความจริงถ้าจะทำมันก็มีแหละ แต่เราแค่แบ่งเวลาไม่ถูกเท่านั้น 

เหนือกว่าการเรียนคือเราอยากออกไปใช้ชีวิตมากกว่า แต่ก็รู้ตัวเองดีว่าโลกความจริงแม่งโหดร้ายสัส บางทีก็คิดนะว่า ทำไมแม่กูไม่ถูกหวย200 ล้านเลยวะ จะเดินไปคณะพรุ่งนี้แล้วเซ็นต์ใบลาออกแม่งเลย แต่เพ้อเจ้อว่ะ ชีวิตจริงมันจะเป็นแบบนั้นได้ไง ต้องเป็นหนึ่งใน 70 ล้านกว่าคนที่จะถูกหวยในประเทศนี้ ผู้นำก็ห่วยแตก ฝนตกน้ำก็ท่วม รถก็ติด เฮ้อ ทำได้แค่บ่นแล้วทนอยู่ต่อไป เรื่องความทุกข์ของตัวเองนี้ก็พูดยากนะ เหมือนที่บอกไป ไม่อยากเอาความทุกข์ของตัวเองไปโยนให้ใครรับฟัง คนฟังก็ทุกข์ตาม เหมือนแม่ บางครั้งก็เหนื่อย เหนื่อยจนบางครั้งมันท้อว่า ทำไมต้องมาอยู่ในจุดที่ชีวิตไม่มีความสุขด้วย เหนื่อยเรื่องเรียนนี้แหละ พอพูดเรื่องนี้กับแม่ แม่ก็จะพลอยเครียดไปด้วย แม่บอกจะคิดมากทำไม แล้วพอเราเล่าให้แม่ฟัง แม่ก็จะเครียดตาม สุดท้ายพอแม่เครียด เราก็รู้สึกว่าเครียดตามด้วย action = reaction = reaction อีกรอบ เราแค่รู้สึกว่าเราอยากจะพูดในสิ่งที่เราอยากพูดให้ใครสักคนฟัง แค่อยากมีคนรับฟังเรื่องที่เราเหนื่อยและท้อเฉยๆ ความจริงสิ่งที่เราพูดออกมามันเป็นแค่การระบาย แต่ไม่ได้หมายความว่าเราอยากทำสิ่งนั้น 100% แน่ ๆ (ในความรู้สึกอาจจะสัก 70% แต่ก็ไม่ใช่เต็มร้อย เกทป้ะ?) พอรู้ว่าพูดกับแม่ (ที่ปกติแล้วเราสามารถเล่าทุกอย่างให้ฟังได้ ทุกเรื่องเลยนะ ทุกเรื่องจริง ๆ) ไม่ได้เราก็เลยต้องมาเขียนระบายกับตัวเองในนี้แทน อย่างน้อยก็รู้สึกว่าก็ยังมีตัวเองแหละว้าที่รับฟังตัวเราเองและเข้าใจตัวเองได้มากที่สุด

แต่เราว่าเราหาที่ยึดเหนี่ยวของเราเจอแล้วว่ะ เป็นคนที่อบอุ่นเหมือนพระอาทิตย์ พระอาทิตย์ที่มีดวงเดียวในระบบสุริยะจักรวาลของกาแลกซี่ทางช้างเผือก เหมือนเกินไปจนทำให้เราที่เป็นแค่ต้นไม้โง่ๆต้นหนึ่งสัมผัสได้ถึงแค่ความอบอุ่นที่เขาแผ่มา แต่ต้นไม้ก็ไม่ได้มีแค่ต้นเดียวบนโลกใบนี้ป้ะ? เราหมายความว่า ความอบอุ่นของเขามันแผ่กระจายครอบคลุมไปทั่วโลกและเราก็ไม่ใช่แค่ต้นไม่ต้นเดียวที่ได้รับความอบอุ่นนั้น งั้นเราจะเรียกเขาว่า คุณพระอาทิตย์’ ก็แล้วกันนะ มาฟังเรื่องของคุณพระอาทิตย์กันดีกว่า 

คุณพระอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์ที่กำลังส่งถ่ายพลังงานความร้อนให้แก่ต้นไม้ต้นอื่น ๆ และตัวเราที่อาศัยอยู่แต่ในที่ร่มจึงได้รับพลังงานความร้อนจากหลอดไฟหลายดวงเท่านั้น แสงแดดของคุณพระอาทิตย์จึงไม่ส่งถึงเราตั้งแต่ตอนแรก  เพราะแกนของโลกที่เอียงทำให้องศาในการส่องแสงของคุณพระอาทิตย์เปลี่ยนทิศทางไป วันหนึ่งในขณะที่คุณพระอาทิตย์กำลังส่องแสงให้ต้นไม้ต้นอื่นได้เจริญเติบโต แสงแดดของคุณพระอาทิตย์ก็ได้ขยับและเล็ดลอดเข้ามาในพื้นที่ที่เราเคยอยู่ พลังงานความร้อนจากหลอดไฟจะไปสู้ความร้อนของคุณพระอาทิตย์ได้อย่างไรกัน ต้นไม้ต้นนี้จึงค่อยๆบิดเบี้ยวออกไปจากที่แห่งนี้และสุดท้าย เราก็ได้รับพลังงานจากคุณพระอาทิตย์ที่จะทำให้เราเติบโตและผลิบานได้อย่างเต็มที่

นี้คือเรื่องของคุณะพระอาทิตย์

เราชอบคุณพระอาทิตย์มากขึ้นทุก ๆวัน ในทุก ๆการกระทำของคุณพระอาทิตย์ทำให้เราอบอุ่นหัวใจเป็นอย่างมาก และเมื่อไม่นานมานี้ยิ่งเราได้รู้จักสวนดอกไม้แห่งความลับของคุณพระอาทิตย์แล้ว สิ่งนั้นทำให้เรายิ่งตกชอบคุณมากขึ้นไปอีก เราชอบทัศคติ วิธีการมองโลกในแง่ดีแบบคนที่มีประสบการณ์ผ่านโลกมามาก หรือจะเป็นความอ่อนโยนของคุณที่ได้มอบให้แก่ผู้อื่น เวลาเราเหนื่อยหรือท้อ เราจะแผ่ขยายใบเพื่อที่จะได้รับพลังงานจากคุณพระอาทิตย์ได้อย่างเต็มที่ เรารู้สึกว่าเราอยากทำตัวเองให้เป็นคนดีกว่าเดิม เป็นคนที่เก่งกว่านี้ เพื่อที่วันหนึ่งคุณพระอาทิตย์ส่องแสงลงมา จะได้ภูมิใจในตัวเราว่าพลังงานของคุณนั้นทำให้เราเติบใหญ่ แผ่กิ่งก้านสาขา และหยั่งรากลึกลงไปในผืนดินได้อย่างหนักแน่น 

เราไม่รู้ว่าเราจะชอบคุณพระอาทิตย์ไปได้อีกนานแค่ไหน แต่เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตกลงแล้วเราชอบคุณหรือรักคุณพระอาทิตย์กันแน่ แต่เราอยากจะบอกว่าขอบคุณคุณพระอาทิตย์มาก ๆที่ส่องแสงมายังเรา และเป็นกำลังใจให้เราในยามที่เรารู้สึกหมดหวัง คือในทุก ๆการกระทำของเรา เราก็ไม่อยากให้คุณพระอาทิตย์ผิดหวังในตัวเราเหมือนกัน ถึงแม้ว่าคุณพระอาทิตย์จะไม่รู้ต้นไม้ต้นนี้ผลิบานได้อย่างสวยงามแค่ไหนก็ตาม

ขอบคุณคุณพระอาทิตย์และสวนดอกไม้แห่งความลับของคุณที่ได้เข้ามาเปลี่ยนชีวิตเราให้เป็นคนที่ดีขึ้นอีกหน่อยหนึ่ง ความจริงแล้วเราไม่ค่อยชอบแมวเท่าไหร่หรอก แต่เราอยากเลี้ยงแมวเพราะคุณพระอาทิตย์เลย คุณพระอาทิตย์เป็นคนรักสัตว์มาก ความจริงแล้วคุณก็ใจดีกับทุก ๆคนนั่นแหละ และก็ขอบคุณคุณพระอาทิตย์ที่ทำให้เรารู้ว่าโลกใบนี้ไม่ได้โหดร้ายขนาดนั้นเมื่อมีคุณอยู่ เราว่าใครได้ดวงอาทิตย์ดวงนี้เป็นแฟนแม่งจะเป็นคนที่โคตรโชคที่สุดในโลกคนหนึ่งยิ่งกว่าแม่เราถูกหวย 200 ล้านอ่ะ อิจฉาว่ะ แต่ตอนนี้คุณพระอาทิตย์ก็ยังไม่มีแฟนเราก็ยังมีโอกาสใช่มั้ย? ฮ่า ๆ มโน แต่คุณส่องแสงสว่างและอยู่ไกลเกินไปจนต้นไม้อย่างเราเอื้อมไม่ถึง  หากวันใดวงโคจรของระบบสุริยะเปลี่ยนไปและแรงโน้มถ่วงโลกเหวี่ยงให้เราสองคนหลุดออกจากวงโคจรนี้ เราหวังว่าจะได้เจอคุณที่จุดตัดจุดใดจุดหนึ่งบนจักรวาลนี้นะ 

อีกอย่างหนึ่ง แม้ความคิดนี้จะสามารถเป็นจริงได้แค่ 1% ก็ตาม เราหวังว่าทั้งเราและคุณพระอาทิตย์จะเป็นอีกครึงหนึ่งของกันและกันที่โดนพระเจ้าฉีกออกมาตามเรื่องเล่านิทานของเพลโตนะ


เลดี้กลิตเตอร์วาวๆ อ่ะจริงดิ!  
24/09/19

เหงาว่ะ

เหงาว่ะ                                  

ช่วงนี้รู้สึกเหงาๆยังไงก็ไม่รู้ หรืออาจจะไม่ได้เหงาแค่ช่วงนี้ อาจจะเหงามาตลอด พออยู่กับเพื่อนก็มีความสุขนะ มีเพื่อนคุย เพื่อนไปเที่ยว พยายามหากิจกรรมให้ตัวเองทำ จะได้ไม่ฟุ้งซ่านหรือเหงามาก แต่บางครั้งก็รู้สึกว่าเหนื่อย อยากนอนพัก อยากอยู่กับตัวเองมากกว่า พอกลับมาอยู่กับตัวเองก็เหงาอีก มันสลับกันไปมาหาจุดพอดีไม่ได้ มันจะมีช่วงที่อยู่กับคนอื่นแล้วมีความสุข และอยู่กับตัวเองแล้วมีความสุข และก็มีช่วงที่อยู่กับคนอื่นแล้วไม่มีความสุข และอยู่กับตัวเองก็ไม่มีความสุข ตอนต้นปีได้เขียนเป้าหมายที่จะทำให้สำเร็จไว้ลงในไดอารี่ส่วนตัว หนึ่งในเป้าหมายที่ตั้งไว้คือ จะต้องมีความสุขให้กับทุกวันของชีวิต แต่ผ่านต้นปีมาไม่กี่วันก็ไม่มีความสุขแล้ว ฮ่า ๆ เพราะว่าติดเอฟอีกแล้ว ตอนนั้นเศร้ามาก ทุกข์มาก กลับมาในวังวนเดิม คิดว่าแทนที่จะได้พักอยู่บ้านแบบสบายๆ นอนกกนกตอนปิดเทอมกลับต้องมาเรียนซัมเมอร์ ช่วงนั้นความคิดตีกันในหัวสุดๆไปเลยว่า ไหนบอกว่าจะมีความสุขในทุก ๆวันของชีวิตไง แต่ทำไมตอนนี้ถึงร้องไห้ซะแล้วล่ะ แต่เวลาก็ทำให้มันดีขึ้นนะ ก็ทำใจ ปล่อยวาง โทษตัวเองบ้างว่าไม่ตั้งใจเรียนเอง เอฟก็ช่างแม่ง (กำลังปลอบใจตัวเองอยู่) แก้เอาทีหลังก็ได้ หลังจากนั้นเวลามีความทุกข์ที่ส่วนมาก 95% จะมาจากเรื่องเรียน คำสัญญาที่ให้ไว้กับตนเองตอนต้นปีว่า จะมีความสุขในทุก ๆวันของชีวิต’ ก็จะผุดขึ้นมาในหัวอยู่เสมอ มันก็พอได้ผลนะ มันทำให้เราหายเศร้าแล้วมีความสุขขึ้นมาอีกนิดหน่อย อย่างน้อยก็ไม่ค่อยทุกข์ใจเหมือนที่ผ่านๆมา อะไรที่เกิดขึ้นสามารถสกัดได้ด้วยคำ ๆเดียวคือคำว่า ช่างแม่ง

การที่คนเราจะมีความสุขในทุกวันของชีวิตแม่งเป็นไปไม่ได้หรอก มนุษย์ไม่ได้มีพลังวิเศษถึงขนาดที่จะจัดการกับความรู้สึกของตัวเองได้ดีขนาดนั้น

เราว่าปัญหาของเราคือเรื่องเพื่อน หรืออาจจะเรียกว่าปัญหาการเข้าหาคนก็ได้ อีกหรือก็คือการอยู่ร่วมกันกับเพื่อนคนอื่น ๆ มันไม่ใช่ปัญหาที่หมายความว่าเราเป็นคนหยิ่ง หรือเข้ากับเพื่อนไม่ได้นะ แต่เรารู้สึกว่า ถ้าไม่สนิทกันแบบสนิทสนิทแบบนี้ เราอยู่กับตัวเองแล้วมีความสุขมากกว่า อย่างเช่นตอนเช้ากินข้าวที่คณะก่อนขึ้นไปเรียน เราสังเกตว่าคนอื่นจะถือข้าวมาแล้วหาเพื่อนนั่งด้วย เพื่อนนี่ที่ว่าหมายถึง ไม่ได้สนิทกัน แต่คุยกันได้ เจอกันรู้จักกัน แล้วเข้าไปนั่งด้วยกัน แต่เรากลับรู้สึกอึดอัดว่ะ เรารู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ดีที่เราจะอยู่ตัวคนเดียว เราควรไปทำความรู้จักกับเพื่อนคนอื่น ๆ ในคณะหรือในภาคบ้างแต่เรารู้สึกดีมาก ๆที่จะนั่งคนเดียวแล้วกินข้าวเงียบๆดีกว่า อยากแก้นิสัยของตัวเองตรงนี้จั 

ส่วนเพื่อนที่เรียกว่าสนิทๆในคณะก็มีอยู่ไม่ถึง5คน แต่ละคนก็คือนิสัยเหมือนเราเลยคือชอบอยู่กับเพื่อน และชอบอยู่กับตัวเองด้วย หาจุดกึ่งกลางไม่ได้ 

เราอยากมีเพื่อนเยอะๆนะ เราเคยลองไปหาเพื่อนใหม่ๆด้วย ตอนเข้าภาคแล้วมีค่าย เราได้จับกลุ่มอยู่กับเพื่อนที่เราเคยเห็นหน้าแต่เราไม่เคยคุยด้วย เราคิดว่านี้แหละคือโอกาสที่เราจะได้ทำความรู้จักกับผู้คนใหม่ๆ สังคมใหม่ๆ พวกเราเล่นเกมกันโดยการจับกลุ่มแล้วหาสิ่งที่พวกเราทั้ง 10 คนในกลุ่มมีสิ่งที่ชอบเหมือนกัน จากนั้นก็เสนอให้อาจารย์ฟัง เพื่อนก็เสนอสิ่งต่าง ๆ มาว่ามีอะไรที่ชอบหรือไม่ชอบบ้าง มีเพื่อนคนหนึ่งเสนอมาว่า มีใครชอบหน้าหนาวบ้าง เกือบทุกคนยกมือว่าชอบหน้าหนาว แต่เราที่เคยไปแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศ เจออากาศที่ทั้งหนาวและแห้ง ทำให้เราขยาดกับหน้าหนาวมาก เราเลยบอกว่าเราชอบหน้าร้อนมากกว่า เรากำลังจะบอกเหตุผลว่าทำไมเราถึงชอบหน้าร้อน เพราะเราคิดว่ากิจกรรมแบบนี้เป็นกิจกรรมที่จะให้เพื่อนๆในกลุ่มได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและพูดคุยกัน ในขณะที่เรากำลังอ้าปากและเปล่งเสียงออกมาว่า “เราไม่ชอบหน้าหนาวเลยว่ะ เราชอบหน้าร้อนมากกว่าเพราะว่า...” เพื่อนคนหนึ่งก็พูดแทรกขึ้นมาว่า พอ ไม่ต้องพูดหรอก เสียเวลา แล้วจากนั้นก็ถามคำถามต่อไปว่าตกลงใครชอบอะไรบ้าง 

ตอนนั้นความรู้สึกเราคือ แดกจุด กรีดร้องในใจแล้วบอกว่า อีเหี้ย’ ฮ่า ๆ แต่เราไม่ได้โมโหนะ ไม่ได้โกรธด้วย แค่รู้สึกว่า อิหยั๊งวะ หลังจากเหตุการณ์นั้น เราก็ไม่อยากคุยกับเพื่อนคนนั้นอีกเลย เป็น first impression ที่แย่มาก ๆแล้วเราก็ไม่อยากทำความรู้จักกับใครละด้วย เราคิดว่าเดี๋ยวแรงดึงดูดของโลกแม่งก็เหวี่ยงคนที่เหมือนๆ กันมาให้เราเองแหละ 

เรามีความสุขมาก ๆที่ได้อยู่กับเพื่อนตอนมหาลัย แต่เราว่าความรู้สึกนั้นมันฉาบฉวย มันไม่คงอยู่ ไม่เหมือนความรู้สึกเหมือนเพื่อนสมัยมัธยม อาจเป็นเพราะว่าเรารู้จักกันมาแค่ ปี ไม่เหมือนเพื่อนมัธยมที่รู้จักกันมาทั้งชีวิตตั้งแต่ตอนประถม แต่เพื่อนมหาลัยที่คบกันก็เป็นเพื่อนที่ดีมาก โชคดีที่ได้เจอคนดี ๆและจริงใจ 

ความจริงไม่มีอะไรหรอก แค่มาบ่นให้ฟังเฉยๆว่า เหงาว้อยยยยยยยยย อยากเปลี่ยนนิสัยตัวเองให้เป็นคนที่ active มากขึ้น ออกไปทำกิจกรรมมากขึ้น ฟังเพลง ดูหนัง ดูงานศิลปะ ทำนู่นทำนี่ ขุดตัวเองให้ออกจาก safe zone ของตัวเอง เผื่อว่าจะได้เจอสังคมที่ใช่กับเราจริงๆ แต่เราเป็นคนที่ไม่ชอบความวุ่นวาย ไม่ชอบเสียงดัง ไม่ชอบที่ที่คนเยอะๆ เพราะฉะนั้นเวลาเราหากิจกรรมให้ตัวเอง เราจะพยายามหาอีเว้นที่เกี่ยวกับงานศิลปะ ดูหนังนอกกระแส ฟังเพลงนอกกระแส แต่ก็ไม่ได้ไปสักทีนะ เพราะ ขี้เกียจ เป็นปัจจัยแรก และไม่มีใครไปด้วย ปัจจัยรองลงมา เราอยากให้เวลาที่เราไปดูหนัง ฟังเพลง หรือทำกิจกรรมอะไร จะมีคนที่ into (เราหมายถึงอิน) เรื่องนั้น ๆ กับเราได้ อยากแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและมุมมองที่คนๆนั้นมีต่อสิ่งๆหนึ่ง ไม่ว่าเรื่องนั้นจะถูกหรือผิด แต่ว่าการที่มนุษย์มีมุมมองต่อสิ่งต่าง ๆที่แตกต่างกันไป สิ่งนั้นคือเสน่ห์ของความเป็นมนุษย์ที่เราคิดว่าสิ่งมีชีวิตอื่นไม่น่าจะมี 

สิ่งที่ทำให้เรามีความสุขทุกวันนี้ก็คือการนอนอ่านนิยาย ฟังเพลงแล้วนั่งหาความหมายของมัน ดูหนังแล้วเสพศิลปะที่สื่อออกมาในงานชิ้นนั้น เล่น pubg(ซึ่งบางทีหัวร้อน) แล้วก็เขียน blogนี้แหละ

อีกความจริงที่จะบอกคือ อยากมีแฟนว่ะ ฮ่าๆๆ เพราะเราคิดว่าคนที่จะมาเป็นแฟนกันได้ทัศนะคติหรือ taste หรือมุมมองต่อโลกและผู้คนต้องคล้ายๆกัน เราเลยคิดว่าถ้ามีแฟน เราจะได้ทั้งเพื่อนที่สามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเราได้ สามารถดูแลกันและกันได้ สามารถให้ความรู้สึกที่เพื่อนจะมีให้ไม่ได้ แต่ก็ไม่รู้นะ เราก็ไม่เคยมีแฟนเหมือนกัน มีคนมาจีบบ้างประปราย แต่เราว่าคนๆนั้นกำลังหลงผิด ฮ่าๆๆ รู้สึกว่าคนที่เข้ามามันเป็นอะไรที่ฉาบฉวยมากๆ เราอยากให้คนที่มาเป็นแฟนเรา ชอบและตกหลุมรักเราเพราะเราคือเรา ไม่ใช่เข้ามาเพราะว่าเหงาหรือหาเพื่อนคุยเฉยๆ ที่ผ่านมาเราเลยไม่เคยเปิดใจให้คนที่เข้ามาเลย 

เอาเป็นว่าถ้าเราเจอคนๆ นั้นเมื่อไหร่ จะมาเล่าให้ฟังก็แล้วกัน 

ปล. ชาตินี้อาจจะไม่ได้เจอก็ได้ แต่ไม่ซี ถ้าอยู่กับใครแล้วไม่มีความสุข เราอยู่บ้านเลี้ยงนกคนเดียวดีกว่า

ปล.ความจริงมีอีกหลายๆเรื่องที่อยากเล่าแต่ไม่รู้จะเรียบเรียง จัดลำดับความคิดของตัวเองให้ออกมาเป็นตัวอักษรยังไง เอาเป็นว่าถ้ามีจะมาเขียนเพิ่มละกัน 



วันเสาร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2562

โรคนกงอก


 โรคนกงอก

โรคนกงอก เป็นคำศัพท์ที่ถูกบัญญัติขึ้นใหม่โดยกลุ่มคนเลี้ยงนกที่มีชื่อว่า “นกซันคอนัวร์ของเรา” ทางเฟสบุ๊ค มีสมาชิกประมาณ 28,400 คน สิ่งที่พูดคุยกับจำวันกันในกลุ่มนี้คือ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการเลี้ยงนก ทั้งวิธีการเลี้ยงดู ปัญหาที่เกิดขึ้นเพื่อขอคำแนะนำ และโพสรูปถ่ายนกของแต่ละบ้านที่เลี้ยงไว้ให้สมาชิกในกลุ่มได้เข้ามารับชม  
โรคนกงอก หมายถึงอาการของคนที่ซื้อนกมาเลี้ยงแล้วกะจะเลี้ยงไว้แค่ตัวเดียว แต่พอเวลาผ่านไปกลับมีสมาชิกนกในบ้านมากขึ้นเรื่อย ๆ จาก กลายเป็น จาก กลายเป็น 4โรคนกงอกของสมาชิกบางท่านที่มีนกอยู่ถึง 20 ตัว อาจรุนแรงกลายเป็นเหมือนอาการเสพติดการซื้อของที่ไม่จำเป็นเข้าบ้าน ไม่รู้ว่าซื้อทำไม แต่อยากได้ก็เลยซื้อ เพียงเท่านั้น 
เราเป็นอีกคนหนึ่งที่มีอาการของโรคนกงอกเหมือนกัน แค่เป็นเพียงขั้นเริ่มต้นเท่านั้น อาการของโรคนี้เริ่มต้นด้วยเย็นวันหนึ่ง
หลังจากกลับมาจากโรงเรียนและนอนพักอยู่ตรงโซฟาหน้าบ้าน เสียงของแม่เราตะโกนมาจากข้างนอกบ้าน 
“น้อง น้อง!  มาผ่ออะหยั๊งเนี้ยะ” (มาดูอะไรนี้สิ) 
“อะหยั๊งแม่” (อะไรแม่) เราตะโกนกลับไป 
“ขะจั๋ยมาผ่อ เวย ๆ” (รีบๆมาดู เร็วๆสิ) 
เรารีบวิ่งตรงไปยังหลังบ้านด้วยความอยากรู้อยากเห็น 
เราเห็นอะไรบางอย่างอยู่ตรงกลางฝ่ามือของแม่ที่ประสานกันไว้ มันเป็นตัวอะไรสักอย่างที่กำลังดิ้นเพื่อให้หลุดพ้นจากมือของแม่ 
“อะหยั๊งนั่น” (อะไรอ่ะ) เราถามพร้อมกับยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ 
“นกลูก นกใครก่อบ่าฮู้ มันบินมาฮ้องอยู่แถวๆจุ้งจา แม่เลยยับมันไว้” (นกใครก็ไม่รู้ บินมาส่งเสียงอยู่แถวๆชิงช้า แม่เลยจับมันเอาไว้) แม่ตอบกลับมา 
สิ่งที่กำลังดิ้นรนอยู่ตรงหน้าคือนกตัวจิ๋วสีเหลืองอ่อน 
“ไปเอาข้าวนึ่งมาหื้อมันกิ๋นกำมอ มันท่าจะหิว” (ไปเอาข้าวเหนียวมาให้มันกินสิ ท่าทางมันน่าจะหิว) แม่สั่ง
หลังจากเย็นนั้นทุกคนในบ้านคือ พ่อ แม่ และยายของเรา ก็เห่อนกใหม่ที่บินหลงมากันมาก ๆ แม่เราตื่นเต้นมาก ๆเพราะเจ้านกตัวนี้มันน่ารักใช่ย่อย ยายเราก็คงตกหลุมรักทันทีที่เห็น แต่ความรู้สึกของเราในตอนนั้นคือเราไม่อยากเลี้ยงสัตว์ใด ๆในบ้าน และเราก็คิดว่านกนี้อาจจะมีเชื้อโรคที่ทำให้คนในบ้านเป็นไข้เลือดออก เราพยายามเกลี้ยงกล่อมแม่ให้แม่ตามหาเจ้าของของมัน พยายามเกลี้ยงกล่อมยายว่านี้มันไม่ใช่ของของเรา จะเอาของเค้ามาได้อย่างไร แต่แม่กับยายของเรายืนยันว่ายังไงก็จะเลี้ยงนกตัวนี้ เราไม่ชอบเลยที่แม่ พ่อ และยายเห็นดีเห็นงามกับการเอานกของคนอื่นมาเลี้ยง 
ไม่ใช่ว่าเราอิจฉานกที่ทุกคนในให้ความสนใจ เราไม่ใช่เด็กที่ขาดความอบอุ่น เพียงแต่ความรู้สึกในตอนนั้นคือเราไม่ชอบ 
ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ 
เราพูดเกลี้ยงกล่อม ทำทุกวิถีทางให้แม่กับยายเอาไปปล่อยจนยายเราตวาดเสียงดังขึ้นมาว่า 
“มึงบ่ะเอา มึงจะไปปาก” (มึงไม่อยากเลี้ยง มึงก็อย่าพูดมาก ประมาณว่าถ้าเธอไม่อยากเลี้ยง เธอก็เงียบๆไว้ เพราะฉันจะเลี้ยงเอง) 
เวลาผ่านไปสักสองสามวัน แม่บอกว่าเจอเจ้าของมันแล้ว เป็นพี่ที่อยู่บ้านถัดไปอีกสี่ห้าหลัง พรุ่งนี้เช้าแม่จะไปคุยกับพี่เขา ขอซื้อในราคาสัก 500 เพื่อเอามาเลี้ยง เรายิ่งไม่พอใจอีก เพราะว่าในเมื่อเจอเจ้าของแล้วควรจะให้คืนแก่เจ้าของไป เราคิดในใจ 
นี้แม่ยังมีหน้าไปขอซื้อเค้าอยู่อีกเหรอ
ตอนเย็นแม่กลับมา แม่บอกว่านกนี้ไม่ใช่ของพี่เขาเหมือนกัน มันบินมาจากที่ไหนสักแห่งที่อาจจะไกลแสนไกล บินมาด้วยความหิวโหย แล้วจึงมาเกาะอยู่บนไหล่ของพี่เขา พี่เขาเลี้ยงมันได้สักสองอาทิตย์ เอามันยืนเกาะบนไหล่แล้วให้เมล็ดทานตะวันเป็นอาหาร วันหนึ่งมันจึงบินหายไป และสุดท้ายมันก็บินมาพักที่บ้านของเรา
ความรู้สึกไม่พอใจกับการที่เอานกเข้ามาเลี้ยงในบ้านยังมีอยู่ เรายังกลัวเชื้อโรคที่ติดมา เราบอกกับแม่ว่าให้เอามันไปไว้ข้างนอกบ้าน แต่แม่กับยายก็ไม่ยอม เอามันมานอนด้วยในห้องนอนจนได้ มันชอบร้องเสียงแหลมดังในตอนเช้า แม่เราเลยเราเลยเรียกมันว่า จิ๊บๆ เลียนเสียงร้องของนกทั่วไป อาจจะเพราะความน่ารักของมัน เรียกไปเรียกมาเลยกลายเป็น “จิ๊บบี้”
จิ๊บบี้เป็นนกที่โตแล้ว บินเก่ง ขี้ก็เก่ง แต่น่าจะเป็นนกที่เจ้าของ (จริง ๆ) ฝึกมาแล้ว จิ๊บบี้ฉลาด เรียกชื่อแล้วขานตอบ สามารถเดินขึ้นมือได้ 
จิ๊บบี้ขี้อ้อน ชอบมานอนซุกอยู่ตรงซอกคอเวลาจิ๊บบี้ง่วงนอน เวลาเราอ่านหนังสือหรือทำการบ้านจิ๊บบี้ก็จะมาป้วนเปี้ยนตลอด 
เราแทบไม่รู้ตัวเลยว่าความรู้สึกไม่ชอบมันได้เริ่มจางหายไปและแทนที่ไปด้วยความผูกพัน
กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่...
พ่อเราเปิดประตูบ้านทิ้งไว้ และจิ๊บบี้ก็ได้บินออกไปนอกบ้าน 
แม่กับเราตกใจมากที่จิ๊บบี้บินออกไป เราพยายามเรียกหา พยายามไขว่คว้าและวิ่งไล่ตาม แต่เท้าของมนุษย์ไม่อาจมีอิสระได้เท่ากับปีกของนก เราวิ่งตามหาจนเหนื่อยหอบ เหงื่อเริ่มผุดซึมไปทั่วร่างกาย ใบหน้าเริ่มมีน้ำตาเปรอะเปื้อน 
จิ๊บบี้ได้หายไปแล้ว...
เราวิ่งตามหาประมาณครึ่งชั่วโมง จนแม่บอกว่าให้หยุดตามหาได้แล้ว ปล่อยจิ๊บบี้ไปเถอะ หายังไงก็หาไม่เจอหรอก 
เราเดินคอตกเข้าบ้านพร้อมกับความรู้สึกหมดหวัง นั่งพักให้หายเหนื่อย ความเสียใจถูกกลั่นออกมาเป็นน้ำตาหยดลงมาบนใบหน้าอย่างไม่ขาดสาย 
“วี๊ดด วี๊ดดดด” 
เสียงหนึ่งดังขึ้นมา เราจำได้ทันทีว่านั่นคือเสียงจิ๊บบี้ 
เรารีบวิ่งออกไปข้างนอกบ้าน เรียกหาจิ๊บบี้สุดแรง “จิ๊บบี้!!!จิ๊บบี้อยู่ไหน”
“วี๊ด!” เสียงจิ๊บบี้ร้องตอบกลับมาอีกครั้ง หัวใจเราพองโตอย่างบอกไม่ถูก เราพยายามเดินตามเสียงนั่นไป และสุดท้าย เราก็ได้เจอจิ๊บบี้ เกาะอยู่ตรงต้นไม้ข้างรั้วนอกบ้าน 
เรารีบคว้าจิ๊บบี้มาอยู่ในกำมือ ตัวเราสั่นเพราะความโล่งอกและดีใจที่ได้เจอจิ๊บบี้อีกครั้ง
เหตุการณ์ครั้งนั้นมันทำให้เรารู้ซึ้งถึงคำที่คนอื่นมักพูดกันว่า เราจะรู้ว่าอะไรมีค่าก็ต่อเมื่อเราเสียงมันไป
ขอบคุณนะจิ๊บบี้ที่ทำให้ตลอดอายุ 15 ปีของเราได้รู้จักคำ ๆนี้ 
จิ๊บบี้เป็นนกเลิฟเบิร์ดที่ขี้อ้อน ชอบกัดกระดาษ กัดปกนิยายที่เราหวงแหนซะจนไม่มีชิ้นดี จิ๊บบี้กัดกระดาษไปสร้างรัง ชอบบินไปทั่วบ้าน อึเรี่ยราดอยู่ตรงโซฟาและตามตัวของเรา ชอบมากัดปากกาเวลาเรากำลังทำการบ้าน เวลาเราทะเลาะกับแม่และร้องไห้จิ๊บบี้จะบินมาหาเราและจิบกินน้ำตาของเรา เราไม่คิดว่าสัตว์ตัวแค่นี้จะรับรู้ความรู้สึกของเราได้ เราคิดว่าจิ๊บบี้แค่ดื่มน้ำตาของเราเพราะมันเค็มเท่านั้น
จิ๊บบี้ชอบคนแปลกหน้า เวลาแขกของพ่อมาที่บ้านจิ๊บบี้ชอบไปเกาะอยู่บนหัวของพวกเขา จะพยายามที่จะจิกหู จิ๊บบี้ไม่กัด(จนเลือดออก) ไม่ดุ จิ๊บบี้แค่กัดแบบหยอกๆเท่านั้น 
จิ๊บบี้ทำให้โลกเหงาๆของเราเปลี่ยนไป เวลาเราตื่นเราจะเรียกชื่อจิ๊บบี้เป็นอย่างแรก เวลาเรากลับบ้านเราจะเรียกชื่อจิ๊บบี้เป็นชื่อแรกเหมือนกัน 
จิ๊บบี้เป็นนกสอดรู้ เวลาใครทำอะไรจิ๊บบี้จะบินไปหาและพยายามเป็นตัวป่วน บางครั้งเราก็รำคาญจิ๊บบี้มาก ๆ แต่บางครั้งเราก็เรียกหาจิ๊บบี้เหมือนกัน 
จิ๊บบี้เป็นนกขี้ซุก ชอบซุกอยู่ตามซอกคอ ชอบมุดเข้าไปเล่นอยู่ในเสื้อของพ่อเรา อยู่ในประเป๋าของแม่เรา อยู่ในทุก ๆที่ที่มันเป็นซอก ช่องแคบเล็ก ๆ เวลาไปเที่ยวหรือไปที่ไหนเราก็จะเอาจิ๊บบี้ใส่ตะกร้าไปเที่ยวด้วยกัน
บางครั้งจิ๊บบี้ก็ไม่ชอบบิน แต่ชอบเดินเล่นตามพื้นเต๊าะแตะไปมา จนยายเราพูดว่า “สักมันมึงจะได้โดนย่ำต๋ายละนาไอ่จิ๊บบี้” (เดี๋ยวสักวันเอ็งจะโดนเหยียบตาย)
เรานิยามจิ๊บบี้ว่าเป็น ของเล่นมีชีวิต”
จิ๊บบี้เป็นสัตว์ตัวแรกที่เราเลี้ยงและผูกพันอย่างลึกซึ้ง ทุกอย่างในตัวจิ๊บบี้ทำให้เรา และทุก ๆคนก็ตกหลุมรักจิ๊บบี้ได้อย่างง่าย ยายเรารักจิ๊บบี้ พ่อแม่รักจิ๊บบี้ พี่ชายและทุกคนในครอบครัวเราก็รักจิ๊บบี้ ใครต่อใครที่เจอจิ๊บบี้ก็รักจิ๊บบี้
เราเข้าไปห้องแลปของโรงเรียนที่ดองซากของสัตว์ไว้ หนึ่งในนั้นคือกระดูกของนกตัวหนึ่ง เราจึงคิดถึงจิ๊บบี้ว่าถ้าจิ๊บบี้ตายจะเป็นอย่างไร แค่คิด น้ำตาเราก็ไหลออกมาแล้ว
แม้จิ๊บบี้จะเป็นนกที่ทั้งขี้อ้อนและซนมาก ๆจนบินหายไปหลายต่อหลายครั้ง แต่พวกเราก็จะตาม    จิ๊บบี้กลับมาได้เสมอ แต่ละครั้งที่จิ๊บบี้หายไปเรารู้สึกเหมือหายใจจะขาด เรากลัวว่าจิ๊บบี้จะไม่กลับมาอีก 
เย็นวันหนึ่งเราได้ไปเดินเล่นที่ถนนคนเดินสันกำแพงและได้ไปเจอลิ้นทะเลที่ขายอยู่ในร้านขายของสัตว์ เราเคยอ่านเจอว่าลิ้นทะเลมีแคลเซียมสามารถให้นกแทะกินได้ เราซื้อกลับมาและแกะให้จิ๊บบี้ในคืนนั้น เราได้ถ่ายคลิปจิ๊บบี้แทะลิ้นทะเลเอาไว้ แต่จิ๊บบี้คงแทะไม่ค่อยเป็นเลยเมินหน้าหนีจากลิ้นทะเลของเราและบินตามแม่เราที่กำลังเดินขึ้นบ้านไปนอน
เรานั่งดูทีวีอยู่กับยายสองคนข้างล่างบ้าน สักพักมีเสียงแม่ของเรากรี๊ดออกมาดังมาก เรา พ่อและยายตกใจและรีบวิ่งขึ้นไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น ภาพที่เห็นคือแม่ของเราแม่มีแค่ผ้าขนหนูพันตัวเอาไว้อยู่ นั่งทรุดอยู่ลงไปกับพื้นห้องน้ำและร้องไห้ออกมา อีกมุมของห้องน้ำคือร่างของจิ๊บบี้นอนอ่อนแรงหายใจรวยรินอยู่ เลือดของจิ๊บบี้ไหลออกมาจากทางหู
พ่อเรารีบอุ้มจิ๊บบี้ขึ้นมาเป่าตูด แต่มันไม่ช่วยอะไร จิ๊บบี้ค่อยๆอ่อนแรงและหมดลมหายใจไปบนฝ่ามือของพ่อเรา 
เราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องน้ำ ทำไมจิ๊บบี้ถึงมีสภาพเป็นแบบนี้ได้ แม่เราก็ไม่รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น เห็นอีกทีจิ๊บบี้ก็นอนอยู่ตรงพื้นแล้ว เราคิดว่าแม่เราน่าจะเหยียบจิ๊บบี้จนตาย 
เราไม่เคยคิดที่จะโทษแม่เราเลยว่าเป็นเหตุทำให้จิ๊บบี้ตาย ทำไมต้องทำให้เราเสียใจ เราเข้าใจว่ามันเป็นอุบัติเหตุที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น
พ่อ แม่และเราต่างก็ร้องไห้ออกมา มีแต่เพียงยายเราเท่านั้นที่เข้มแข็งพอที่จะไม่แสดงความรู้สึกใด ๆออกมา
ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนทั้งโลกกำลังพังทลาย จิ๊บบี้ได้จากไปแล้วอย่างไม่มีวันหวนกลับ สิ่งที่เรากลัวมาตลอดได้เกิดขึ้นแล้ว เรานั่งร้องไห้เหมือนคนจะขาดใจ เราไม่เคยเสียใจเท่านี้มาก่อนในชีวิต ความเจ็บปวดมันเกินจะรับไหวมาก ๆ
เราไม่เคยเข้าใจเลยว่าทำไมเวลาคนอกหักถึงได้ร้องไห้ฟูมฟายจะเป็นจะตายขนาดนั้น คนเรามันจะรักกันขนาดไหนถึงต้องอาลัยอาวรหากัน เราเคยบอกกับตัวเองว่าถ้าอกหัก คงไม่มานั่งร้องไห้ฟูมฟายจะเป็นจะตายกับความรักงี่เง่าที่มันเกิดขึ้น 
แม่เราเคยเล่าให้เราฟังว่าหมาของเพื่อนที่ทำงานโดนรถชนตาย เขาก็ยังมานั่งร้องไห้ให้แม่เราปลอบอยู่เป็นอาทิตย์ๆ แม่บอก “ตลกเนอะ” 
ทำไมมนุษย์ต้องเสียใจกับการจากไปของสัตว์เลี้ยง
เราไม่เคยเข้าใจจนกระทั่งมันเกิดขึ้นกับเรา ภาพทุกอย่างที่เราใช้เวลาร่วมกันกับจิ๊บบี้ไหลย้อนเข้ามาในหัวราวกับน้ำที่ทะลักออกมาจากเขื่อนที่แตก
คนอกหักคงเป็นแบบนี้เองสินะ เราคิด
ไม่ว่าเหตุการณ์จะเป็นแบบไหน สิ่งที่ทำให้เราเสียใจอย่างสุดซึ้งก็คือความรักและความผูกพัน
เราว่าการจากลาของมนุษย์กับสัตว์เจ็บปวดกว่าการจากลาของมนุษย์ด้วยกันเอง มนุษย์เต็มไปด้วยราคะ ตัญหาที่ทุกคนล้วนมี มนุษย์จากไปด้วยอารมณ์สีเทา แต่โลกของสัตว์นั้นไม่เหมือนกัน สัตว์เป็นความรู้สึกที่บริสุทธ์กว่านั้น เป็นเหมือนสีขาวที่จะไม่มีวันแปดเปื้อน 
คืนนั้นเองเราไล่ลบรูปที่มีจิ๊บบี้ทั้งหมดออกจากโทรศัพท์ เราไม่อยากมาเห็นภาพที่ทำให้เรารู้สึกเสียใจและอาลัยอาวรณ์ต่อเขา มือสั่นเทาของเราเลื่อนไปลบคลิปที่พึ่งถ่ายไว้ไม่ถึงชั่วโมงก่อนที่จิ๊บบี้จะจากไป จิ๊บบี้ช่างน่าสงสารและเปราะบางเหลือเกิน 
เรานอนหลับไปทั้งน้ำตา รุ่งเช้าพ่อเข้ามาปลุกเรา บอกว่าจิ๊บบี้เริ่มตัวแข็งแล้ว พ่อกับแม่จะเอาจิ๊บบี้ไปฝังที่หน้าบ้าน เราเบือนหนีหน้าทั้งน้ำตาและบอกพ่อว่าเราไม่ไป เราจะนอน เราเลือกที่จะวิ่งหนีจากความเจ็บปวดนั้น
จิ๊บบี้เป็นนกที่ทำให้เราได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่าง สอนให้เราเข้าใจเรื่องของความรักมากขึ้น ขอบคุณจิ๊บบี้นะที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเรา มาร่วมสร้างความทรงจำดี ๆร่วมกัน
เวลาจะช่วยเยียวยาทุกสิ่ง นั่นคือความจริง ความเจ็บปวดเริ่มจางหายไป แต่ความคิดถึงยังมีอยู่ บ้านเงียบลงไปถนัดตา เสียงเรียกจิ๊บบี้ของทุกคนก็ไม่มีแล้วเช่นกัน 
เราขอให้แม่ซื้อนกตัวใหม่มาเพื่อที่จะทำให้เราตัดใจจากจิ๊บบี้ได้ แม่และพ่อบอกกับเราว่าไม่อยากผูกพันกับอะไรอีกต่อไป เราจึงตกลงกันว่าจะไม่ซื้อสัตว์ตัวไหนมาเลี้ยงในบ้านอีก  แต่การตายของจิ๊บบี้กลายเป็นเหมือนรูโหว่ขนาดใหญ่ในใจกลางพื้นที่ของบ้าน รูโหว่ช่องนั้นคือหลุมแห่งความห่วงหา ความอาลัยอาวรณ์ ความรักและความคิดถึง ที่แม้ว่าทุกคนจะระวังให้ไม่ร่วงตกลงไปสักแค่ไหน สุดท้ายเราก็พลาด ก้าวตกลงไปอยู่ดี 
แม่คงทนไม่ไหวที่เห็นทุกคนในบ้านเดินตกลงไปในหลุมแห่งนั้น สุดท้านแม่จึงยอมซื้อนกตัวใหม่มาปิดหลุมแห่งนั้นเสียที 
พวกเราซื้อนกเลิฟเบิร์ดมาอุดรูโหว่อีก ตัว แต่ ณ ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่เราต้องจากบ้านไปไกลเพื่อไปเรียนอยู่ที่ต่างประเทศเป็นระยะเวลาปี พ่อและแม่ก็ต้องออกไปทำงาน มีแต่ยายเท่านั้นที่เป็นคนเลี้ยงสองตัวนั้น 
พวกมันเติบโตมาโดยไม่เชื่องเหมือนจิ๊บบี้ ไม่ยอมให้คนในครอบครัวเข้าใกล้ด้วยซ้ำ สุดท้ายพวกมันก็บินหายไปทั้ง ตัว ถามว่าเราเสียใจไหมกับการหายไป เราก็เสียใจถึงขั้นหลั่งน้ำตา แต่ก็ไม่ได้รู้สึกขาดใจเหมือนกับการจากไปของจิ๊บบี้ อาจจะเป็นเพราะว่าเราไม่ได้รู้สึกผูกพันด้วยล่ะมั่ง ไม่ได้ผูกพันจนกระทั่งที่ว่าเราจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่านกสองตัวนั้นชื่ออะไร
รูโหว่ในบ้านกลับมาเปิดอีกครั้ง แม่กับยายก็ไปซื้อนกเลิฟเบิร์ดมาเพื่อปิดหลุมอีกเหมือนเดิม ครั้งนี้แปลกไปกว่าเดิม แม่โทรไลน์มาหาเราพร้อมแนะนำว่า นกตัวใหม่ เลิฟเบิร์ดพันธุ์มีขอบตา มีชื่อเล่นว่า “คิม”
เวลาล่วงเลยไปนานกว่าหลายเดือนที่เราจะกลับมาเมืองไทย ในที่สุดเราก็ได้เจอกับคิม ครอบครัวเราเดินทางมาจากเชียงใหม่มารับเราที่สนามบินสุวรรณ์ภูมิตอนตี เราที่ทั้งเจทแลค ทั้งเหนื่อยกับการเดินทางสลบไสลไปตั้งแต่ขาก้าวขึ้นรถกลับบ้านพักแห่งหนึ่งในชาญเมือง กรุงเทพมหานคร กว่าจะได้เจอคิมก็รุ่งเช้าวันถัดไป 
เราตื่นมาพร้อมกับถามแม่ว่า นกตัวใหม่อยู่ไหน แม่ตอบกลับมาว่าอยู่ในกล่อง ไปปลุกมันเลย เราจึงล้วงมือเข้าไปในกล่องสี่เหลี่ยมเล็กที่ซึ่งเป็นที่นอนของคิม ทันในนั้นเองความเจ็บปวดที่ถูกสั่งการจากสมองลงไปสู่ปลายนิ้วและไหลย้อนกลับมาออกมาเป็นเสียงร้องโหยหวนของเรา เรารับชักมือกลับมาดูและพบว่า เลือดออกเป็นทางยาวไหลออกมาจากนิ้วชี้
คิมกัดเราทำไม!
จากนั้นมาเราถึงรู้ว่าคิมเป็นนกที่ดุมาก ไม่อ่อนโยน ไม่ขี้เล่นเหมือนจิ๊บบี้เลยแม้แต่นิดเดียว มีเพียงบุคคลเดียวที่คิมและเชื่องและไม่กัดคือยาย เหตุเป็นเพราะยายเลี้ยงคิมมาตั้งแต่เด็ก ป้อนข้าว ป้อนน้ำ ให้ตลอด มื้อเวลาอาหาร เพราะแม่เราต้องไปทำงานในช่วงเวลาตอนกลางวัน ทำให้มีเพียงบุคคลเดียวเท่านั้นที่สามารถดูแลคิมได้ซึ่งนั้นก็คือยาย ยายรักคิม และคิมก็รักยายมาก ๆ 
สถานการณ์ภายในบ้านระหว่างคิมและครอบครัวเป็นไปอย่างไม่สู้ดีนัก ไม่มีใครเข้าใกล้คิมได้แม้แต่คนเดียวยกเว้นยาย คิมหวงที่ คิมหวงของ คิวหวงยาย คิมหวงทุกๆอย่าง คิมก้าวร้าว ดุอย่างกะสุนักพันธุ์พิทบูที่จะจงรักภักดีต่อจ่าฝูงเพียงผู้เดียวเท่านั้น นิสัยระหว่างคิมและจิ๊บบี้แตกต่างกันอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่คิมและจิ๊บบี้เหมือนกันคือ คิมและจิ๊บบี้เป็นจอมทำลายล้าง คิมกัดกระดาษเหมือนที่จิ๊บบี้ทำ คิมกัดหนังสือของเราและของพ่อเป็นเล่มๆเมื่อเผลอวางทิ้งไว้ คิมกัดกระจกกันรอยหน้าจอโทรศัพท์ของทุกคนในบ้านเมื่อเผลอ แต่ถึงแม้ว่าคิมจะดุหรือไม่น่ารักแค่ไหน แต่คิมก็เป็นนกที่มาผิดรูโหว่ของบ้านได้จริง ๆสักที 
เราบอกแม่ว่าคิมดุเกินไป เราอยากได้นกตัวใหม่ เราเข้าไปหาข้อมูลในอินเทอร์เนตมาพบว่า นกแก้วที่มีสายพันธุ์ชื่อว่า ซันคอนัวร์ เป็นนกแก้วที่จัดว่าเป็นนกแก้วขนาดเล็กที่มีความฉลาดที่สุด ทำให้เราสนใจและอยากได้นกอีกสักตัวมาเลี้ยง แต่พอเข้าไปดูราคาเรากลับพบว่านกแก้วพันธุ์นี้มีราคาแพง เราจึงหาข้อมูลเก็บไว้และไปนำเสนอให้แม่ดู เราบรรยายสรรพคุณและนิสัยของนกแก้วซันคอนัวร์ให้แม่ฟัง แม่เริ่มคล้อยตามและบอกว่า เราไปซื้อมาเลี้ยงบ้างไหม แต่พอเราบอกราคาไป แม่กลับนิ่งเงียบ แล้วตอบกลับมาว่า เลี้ยงแค่คิมตัวเดียวก็พอแล้ว หลังจากนั้นมาเราก็เลยเลิกคาดหวังที่จะได้นกแก้วสายพันธุ์นี้มาครอบครอง 
วันหนึ่งขณะที่เราไปโรงเรียน แม่เราส่งไลน์มาบอกตอนกลางวันว่า แม่เจอนกหลงมาอีกแล้ว แต่คราวนี้แม่เจอในที่ทำงาน มันไปเกาะอยู่บนต้นไม้และไม่ยอมบินลงมา กระทั่งแม่เอาข้าวเหนียวไปล่อ มันจึงลงมา แม่พิมพ์ไลน์พร้อมกับแนบรูปมาให้ ทันทีที่รูปภาพปรากฏ เรารู้เลยว่านี้เป็นนกแก้วสายพันธุ์ซันคอนัวร์ที่เราอยากได้ เราบอกให้แม่ว่าเก็บใส่กล่องไว้และนำกลับบ้าน แม่บอกว่าจะลองประกาศหาเจ้าของดูก่อนสัก อาทิตย์ ถ้าไม่มีใครติดต่อกลับมาแม่จะให้เลี้ยง เราดีใจมากที่จะได้เลี้ยงนกแก้วตัวใหม่ที่เราใฝ่ฝัน เรารีบกลับบ้านมาด้วยความตื่นเต้นและดีใจ ทันทีที่เราย่ำเท้าเข้าบ้าน เราก็ได้ยินเสียงนกตัวใหม่ร้องมาแต่ไกล นกตัวใหม่นี้ร้องดังมากและยังบินไปทั่วบ้าน บินไปแล้วก็ตก บินแล้วก็ตก อาจจะเป็นเพราะว่ายังเด็กและไม่ได้รับการฝึก นี้อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้นกตัวนี้หลงมา เรารักนกตัวนี้ทันทีตั้งแต่แรกเห็นและบอกกับแม่ว่าเราจะเป็นคนเลี้ยงและดูแลนกตัวนี้เอง
รุ่งขึ้นเราก็ไปโรงเรียนตามปกติ ส่วนแม่ก็ไปทำงานและออกประกาศตามหาเจ้าของนก เพราะความเห็นแก่ตัวของเรา เราคิดในใจว่า ขอให้ไม่มีใครออกตามหานกตัวนี้ เราจะได้เลี้ยงไว้เป็นเจ้าของคนต่อไป ตกเย็นเรากลับมาจากที่โรงเรียนอย่างเร็วไวเพราะว่าเราอยากจะกลับมาเล่นกับนกตัวใหม่ เราป้อนอาหารและเล่นไปสักพัก แม่ก็เข้ามาคุยกับเราว่า แม่จะเอานกตัวนี้ไปให้คนอื่นดูแล เรานั่งอึ้ง น้ำตาคลอเบ้าและเริ่มโวยวายถามถึงสาเหตุ แม่บอกกับเราว่ายายไม่สบายใจที่มีนกตัวนี้มาอยู่ในบ้าน ยายไม่อยากเลี้ยงนกตัวนี้เพราะนกตัวนี้จะเป็นภาระ เราร้องไห้โวยวายออกมา ตะโกนเสียงดัง ขึ้นเสียงใส่ยายว่าทำไม ถ้าย้ายไม่เลี้ยง เราจะดูแลเอง ยายบอกว่าเมื่อคืนยายฝัน ฝันว่ามีคนมาตามนกตัวนี้กลับไป และให้เอาไปคืนที่หน้าวัด ยายบอกว่ามีผีมาทวงคืนนกตัวนี้มีบินหลงมาจากไหนไม่รู้ ยายบอกว่านกตัวนี้เป็น นกผี
ด้วยความเป็นนักวิทยาศาสตร์ตัวจิ๋ว เราตะโกนออกมาทันทีว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องไร้สาระและงี่เง่า 
“นกก็เป็นนก นกจะเป็นผีได้ยังไง”
แม่ซึ่งเป็นคนกลางเริ่มเข้ามาพูดกับเราด้วยเหตุและผล แม่บอกว่าถ้าหากเลี้ยงนกตัวนี้ต่อไป ตอนกลางวันใครจะดูแลถ้าไม่ใช่ยาย  แล้วยายบอกว่ายายจะไม่เลี้ยง ใครจะเป็นคนเลี้ยง อีกอย่างหนึ่งคือ คนเฒ่าคนแก่ชอบเก็บอะไรไปฝัน หากวันหนึ่งเกิดอะไรขึ้นด้วยอะไรก็แล้วแต่ ยายก็จะมาโทษแม่ว่าเป็นเพราะแม่ที่ยอมให้เลี้ยงนกตัวนี้และทำให้เกิดเรื่องที่ไม่ดีขึ้น เราเริ่มสงบลง เข้าใจความเป็นเหตุเป็นผลของแม่ แม่บอกต่อว่า พรุ่งนี้จะเอานกไปให้พี่อีกคนเลี้ยงแล้ว เราไม่ต้องเสียใจนะ และในที่สุดนกซันคอนัวร์ตัวใหม่ที่บินหลงมาก็ได้จากไปพร้อมกับเจ้าของใหม่ที่พร้อมจะดูแล เราร้องไห้เสียใจ เราโกรธที่ว่าทำไมความเชื่องี่เง่าของคนโบราณจะต้องทำให้ชีวิตเราไม่มีความสุข
พี่คนที่รับเลี้ยงนกตัวนั้นไปตั้งชื่อให้นกตัวใหม่ว่า เจ้าบับเบิ้ล (bubble)’ 
ความโกรธและความไม่พอใจยังฝังใจเราอยู่เป็นระยะ ๆ เป็นเพราะว่าแม่ไม่อยากให้เราเสียใจ แม่จึงเสิร์ชหาข้อมูลในเฟสบุ๊คว่าแถวบ้านเราว่ามีที่ไหนขายนกซันคอนัวร์บ้าง แม่ยอมกรีดเนื้อตัวเอง ซื้อนกซันคอนัวร์ตัวใหม่มาให้ในราคา 4700บาท แม่บอกว่าแม่ไม่อยากเห็นเราหน้าตาอมทุกข์ ไม่ยิ้มและทำหน้าเครียดอยู่ตลอดเวลา แม่ไปคุยกับพี่เขาที่เลี้ยงแล้วว่าแม่จะผ่อนให้เขาเดือนละ 1000 บาท เราดีใจมากที่จะได้นกซันคอนัวร์ตัวใหม่ เรามาบอกพ่อ มาบอกยายว่าเราจะซื้อนกตัวใหม่ พ่อบอกว่ามันแพงเกินไปหรือเปล่าที่จะซื้อนกแค่ตัวเดียวในราคา 4700บาท แต่ตอบกลับไปว่า ซื้อความสุขให้ลูก ซื้อไปเถอะ พวกเราทั้งบ้านจึงมานั่งคิดชื่อให้นกตัวใหม่ก่อนที่เราจะไปรับนกมา
ตอนแรกเราจะตั้งชื่อนกเราว่าเมาโรรี ชื่อนี้มาจากเมื่อสมัยตอนเราไปแลกเปลี่ยน เราแอบชอบผู้ชายคนหนึ่งมาก ๆ ผู้ชายคนนั้นชื่อว่า Mallory ด้วยความฝังใจเราเลยอยากให้นกเราชื่อเหมือนผู้ชายคนนั้น(แรดเนอะ) แต่พ่อเราบอกว่า ชื่ออะไร ชื่อไม่สวยเอาซะเลย พ่อจึงเปลี่ยนชื่อให้ใหม่ เป็นชื่อที่เพราะและสวยงามกว่าเดิม ชื่อว่า “เมรี”
จนในที่สุดที่ถึงวันนัดรับ เราก็ได้เจอเมรีที่ยังเด็ก ๆอยู่ สีเขียวเข้มทั้งตัว เรารักเมรีตั้งแต่แรกเห็น เมรีเป็นนกที่รักของทุกคนเพราะว่าเราฝึกเมรีมาตั้งแต่เมรีเป็นเด็ก ฝึกขึ้นมือ ฝึกบิน ฝึกเรียกไปกลับได้ เมรีได้รับความเอาใจใส่เป็นอย่างดี เราเลี้ยงเมรี ส่วนยายก็เลี้ยงคิม ด้วยการเลี้ยงดูอย่างเอาใจใส่ประกอบกับนกแก้วสายพันธุ์นี้เป็นสายพันธุ์ที่ฉลาด ทำให้เมรีเติบโตมาเป็นนกที่ฉลาดมาก กินเก่ง อ้อนเก่ง เมรีตามเราไปทุกที่ไม่ว่าจะเป็นอาบน้ำ แปรงฟัน เข้าห้องน้ำไปอึ เมรีจะตามติดเราเหมือนปลิง เรารักเมรีมาก เมรีบินเก่งมาก เราปล่อยเมรีบินได้อย่างอิสระเพราะว่าเราฝึกเมรี เมรีชอบขึ้นไปอยู่บนสายไฟฟ้า ห้อยตัวต่องแต่งลงมาโดยการเกี่ยวไว้กับเท้าข้างเดียว และบินไปมาอย่างอิสระและมีความสุข เมรีพูดได้คือคำว่า ครับกับ แม่’ 
เราชอบเรียกเมรีเสียงดังว่า “เมรี!!!!!!!!!
เมรีจะพงกหัวลงหนึ่งครั้งแล้วตอบกลับมาว่า “คับ” (นกออกเสียงควบกล้ำไม่ได้)
จนวันหนึ่งยายเราได้จากไปอย่างกะทันหัน คิมก็ไม่มีผู้เป็นที่รักอีกต่อไป ประกอบกันช่วงนั้นพี่ที่เคยเอาบับเบิ้ลไปเลี้ยงมีปัญหากับการเลี้ยงทำให้เค้าไม่สามารถเลี้ยงบับเบิ้ลได้อีกต่อไป ยายเราก็ไม่อยู่ให้กลัวนกผีตัวนั้นแล้ว ทำให้แม่ไปพาบับเบิ้ลกลับมา และเราตั้งชื่อใหม่ให้บับเบิ้ลว่าส้มจี๊ด’ 
ตั้งแต่ยายเราจากไป เราก็ไม่เห็นว่าคิมมีท่าทางเศร้าสร้อยอะไร คิมก็ยังเป็นคิม เป็นนกแก้วเลิฟเบิร์ดอินดี ๆตัวหนึ่งที่ไม่สนใจโลกภายนอกสักเท่าไหร่ ความแปลกของมนุษย์มีอยู่อย่างหนึ่ง มนุษย์ที่ชื่อว่าเป็นสิ่งมีชีวิตขั้นสูงที่ฉลาดที่สุด มนุษย์ผู้มีมันสมอง มีความรู้สึกนึกคิด มีจิตใต้สำนึก เมื่อมนุษย์มีความคิดเป็นของตนเองแล้วนั้น มนุษย์จึงชอบคิด ยัดเยียดความรู้สึกและความเป็นตัวเองไปให้ผู้อื่นอยู่เสมอไม่เว้นแม้กระทั่งกับสัตว์ เมื่อเราคิดว่าคิมคงเป็นเหมือนมนุษย์ทั่วไป เมื่อคนในบ้านจากไปแล้ว คิมอาจจะคิดถึงยาย พวกเราสงสัยกันอยู่เสมอว่า คิมจะรับรู้หรือเปล่าว่ายายได้จากโลกนี้ไปแล้วเหมือนจิ๊บบี้ แม่จึงดูแลคิมเป็นอย่างดีต่อจากยาย เมื่อคิมได้รับการดูแลจากแม่ คิมก็เชื่องแค่แม่ แต่สุดท้ายคิมก็ยังเป็นนกอินดี้ชอบกัดคนอื่นอยู่ดี 
เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะ เราก็ได้จบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายจากจังหวัดเชียงใหม่ และได้ย้ายมาเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง วันหนึ่งแม่ก็ได้ไลน์มาบอกเราอีกแล้วว่า “มีนกหลงมาอีกแล้ว” คราวนี้เป็นนกเลิฟเบิร์ด สถานที่เกิดเหตุยังคงเป็นที่เดิมคือ นกที่หลงบินมาเกาะอยู่ตรงต้นไม้ที่ทำงานแม่ แม่จึงเอากลับบ้านมาประกาศหาเจ้าของ เป็นนกตัวสีเขียวเข้มกว่าคิมนิดหน่อย หน้าตา ท่าทางกวนโอ๊ย จุดจบสุดท้ายก็เหมือนเดิมคือไม่มีใครติดต่อมาเป็นเจ้าของ สุดท้ายแม่เราก็เลยรับมาเลี้ยงอีกตัว ตั้งชื่อให้ว่า “ชาเขียว” สรุปตอนนี้บ้านเราก็มีนกรวมทั้งหมดตัว 
หากเรียงตามอายุจากมากไปน้อย ก็จะเป็น
“คิม ส้มจี๊ด เมรี ชาเขียว”
นี้เป็นที่มาของโรคนกงอก 
นิสัยของนกสี่ตัวแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง 
คิมเป็นนกอินดี้ ชอบเก็บตัว ไม่สนใจใคร คิมจะหมกมุ่นอยู่กับการกัดกระดาษและนั่งอยู่เฉยๆ เมรีเป็นนกฉลาด ขี้อ้อนแต่ซุกซนมาก อยู่ในช่วงวัยรุ่นที่กำลังอยากรู้อยากลอง ส้มจี๊ดเป็นนกที่เอ๋อ เชื่องช้า ไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราว ส้มจี๊ดบินไม่ค่อยเก่งเพราะตอนที่ส้มจี๊ด(ตอนนั้นยังชื่อว่าบับเบิ้ล) ไปอยู่กับพี่อีกคน พี่เขาขลิบปีกส้มจี๊ดให้ไม่บินเลย ส้มจี๊ดชอบนั่งและทำท่าปริบๆ แต่ส้มจี๊ดเป็นนกที่ขี้อ้อนมาก ขี้อ้อนขั้นสุด เรียบร้อย ว่านอนสอนง่าย ส่วนตัวสุดท้าย ชาเขียว ชาเขียวเป็นนกตัวที่ทุกคนปวดหัว เพราะชาเขียวชอบเสียงดัง ไม่ให้ใครจับ ชอบบินหนี เวลานอนก็ไม่ยอมนอน ข้อสันนิฐานที่พวกเราคิดกันว่าสิ่งที่ทำให้ชาเขียวกลายเป็นแบบนี้เพราะว่าชาเขียวคงเป็นนกที่อยู่แต่ในกรงก่อนที่จะหลุดออกมา คงไม่ได้รับการฝึกใด ๆ 
หากเปรียบเทียบนกทั้งสี่ตัวของเราเป็นเหมือนมนุษย์ คิมคงเป็นมนุษย์โลกส่วนตัวสูง เก็บตัวไม่ยุ่งกับใคร อินดี้ มีความติสแตกมาก ๆอยู่ในตัวเอง เมรีคงเป็นมนุษย์ผู้รักอิสระ ชอบออกเดินทาง เป็นผู้มีความคิดสร้างสรรค์ มีความมั่นใจในตนเองสูง มีภาวะความเป็นผู้นำ มีความเอาแต่ใจอยู่เล็กน้อย ซุกซนและมีความเป็นเด็กอยู่ในตัวเสมอ ส้มจี๊ดคงเป็นลูกคุณหนูเรียบร้อยที่ถูกเลี้ยงดูมาในกรอบไม่ทำโน่นทำนี่ พอโตมาเลยกลายเป็นคนที่มีความเขินอาย ไม่ค่อยกล้าที่จะทำอะไร หรือจะทำก็ต่อเมื่อมีคนชักนำให้ทำ (ซึ่งนั่นก็คือเมรี) ส่วนตัวสุดท้ายคือชาเขียว หากเปรียบชาเขียวเป็นคน ชาเขียวคงเป็นเหมือนเด็กใจแตกที่ไม่ได้รับการศึกษา ไม่มีมารยาทและนิสัยไม่ดี แต่ในความไม่ดีก็ยังมีความน่าสงสาร ชาเขียวมีความน่าสงสารตรงที่ว่า เพราะการเลี้ยงดูแบบนั้น(เจ้าของเก่า) ทำให้ชาเขียวโตมาเป็นคนแบบนี้ 
ด้วยความที่นก ตัวแต่ต่างสายพันธุ์ (คิมชาเขียว – เลิฟเบิร์ด,เมรีส้มจี๊ด ซันคอนัวร์) ทำให้เมรีจะอยู่แต่กับส้มจี๊ด และคิมก็อยู่กับชาเขียว อยู่กันเป็นคู่ ๆ และทั้งสองคู่นี้ ไม่ถูกกันทุกวันนี้นก คู่ ตัว ต่างคนต่างอยู่ ไม่มีปฏิสัมพันธ์อันใดต่อกันยกเว้นจะตีกันเมื่อ 1. แย่งอาหารกัน2. แย่งเจ้าของกัน 
แต่ท้ายสุดแล้วเราก็รักนกทุกตัวที่มาอยู่ในบ้านเรา มาอยู่ในครอบครัวของเรา เป็นที่รักของทุก ๆคน ในการเลี้ยงสัตว์เราจะพึงระลึกไว้เสมอว่า เราอาจจะมีใครสักคนที่เป็นโลกทั้งใบของเราแต่สำหรับสัตว์ เราคือโลกทั้งใบของเขา 
นกทั้งสี่ตัวมาปิดรูผนึกรูโหว่ในบ้านได้อย่างสนิท
สุดท้ายนี้ สำหรับเรา เราคิดว่าสัตว์เลี้ยงทุกชนิด ได้คืนความเป็นชีวิตให้กับมนุษย์มากขึ้น ในวันที่แย่ๆ วันที่เราร้องไห้ เรายังมีนกที่มาคอยจิกกินน้ำตาของเราที่ไหลลงมา เราว่านกเราอาจจะไม่รับรู้ถึงความเสียใจของเราหรอกมั่ง แต่นกเราอาจจะชอบน้ำตาเพราะมันเค็มล่ะมั่ง แต่การร้องไห้ไปและมีนกจิกกินน้ำตาไป ก็ยังดีกว่าการนอนร้องไห้คนเดียวอ่ะนะ
เลดี้กลิตเตอร์วาวๆ 
29/06/2019