โรคนกงอก
โรคนกงอก
โรคนกงอก เป็นคำศัพท์ที่ถูกบัญญัติขึ้นใหม่โดยกลุ่มคนเลี้ยงนกที่มีชื่อว่า “นกซันคอนัวร์ของเรา” ทางเฟสบุ๊ค มีสมาชิกประมาณ 28,400 คน สิ่งที่พูดคุยกับจำวันกันในกลุ่มนี้คือ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการเลี้ยงนก ทั้งวิธีการเลี้ยงดู ปัญหาที่เกิดขึ้นเพื่อขอคำแนะนำ และโพสรูปถ่ายนกของแต่ละบ้านที่เลี้ยงไว้ให้สมาชิกในกลุ่มได้เข้ามารับชม
โรคนกงอก หมายถึงอาการของคนที่ซื้อนกมาเลี้ยงแล้วกะจะเลี้ยงไว้แค่ตัวเดียว แต่พอเวลาผ่านไปกลับมีสมาชิกนกในบ้านมากขึ้นเรื่อย ๆ จาก 1 กลายเป็น 2 จาก 2 กลายเป็น 4โรคนกงอกของสมาชิกบางท่านที่มีนกอยู่ถึง 20 ตัว อาจรุนแรงกลายเป็นเหมือนอาการเสพติดการซื้อของที่ไม่จำเป็นเข้าบ้าน ไม่รู้ว่าซื้อทำไม แต่อยากได้ก็เลยซื้อ เพียงเท่านั้น
เราเป็นอีกคนหนึ่งที่มีอาการของโรคนกงอกเหมือนกัน แค่เป็นเพียงขั้นเริ่มต้นเท่านั้น อาการของโรคนี้เริ่มต้นด้วยเย็นวันหนึ่ง
หลังจากกลับมาจากโรงเรียนและนอนพักอยู่ตรงโซฟาหน้าบ้าน เสียงของแม่เราตะโกนมาจากข้างนอกบ้าน
“น้อง น้อง! มาผ่ออะหยั๊งเนี้ยะ” (มาดูอะไรนี้สิ)
“อะหยั๊งแม่” (อะไรแม่) เราตะโกนกลับไป
“ขะจั๋ยมาผ่อ เวย ๆ” (รีบๆมาดู เร็วๆสิ)
เรารีบวิ่งตรงไปยังหลังบ้านด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เราเห็นอะไรบางอย่างอยู่ตรงกลางฝ่ามือของแม่ที่ประสานกันไว้ มันเป็นตัวอะไรสักอย่างที่กำลังดิ้นเพื่อให้หลุดพ้นจากมือของแม่
“อะหยั๊งนั่น” (อะไรอ่ะ) เราถามพร้อมกับยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ
“นกลูก นกใครก่อบ่าฮู้ มันบินมาฮ้องอยู่แถวๆจุ้งจา แม่เลยยับมันไว้” (นกใครก็ไม่รู้ บินมาส่งเสียงอยู่แถวๆชิงช้า แม่เลยจับมันเอาไว้) แม่ตอบกลับมา
สิ่งที่กำลังดิ้นรนอยู่ตรงหน้าคือนกตัวจิ๋วสีเหลืองอ่อน
“ไปเอาข้าวนึ่งมาหื้อมันกิ๋นกำมอ มันท่าจะหิว” (ไปเอาข้าวเหนียวมาให้มันกินสิ ท่าทางมันน่าจะหิว) แม่สั่ง
หลังจากเย็นนั้นทุกคนในบ้านคือ พ่อ แม่ และยายของเรา ก็เห่อนกใหม่ที่บินหลงมากันมาก ๆ แม่เราตื่นเต้นมาก ๆเพราะเจ้านกตัวนี้มันน่ารักใช่ย่อย ยายเราก็คงตกหลุมรักทันทีที่เห็น แต่ความรู้สึกของเราในตอนนั้นคือเราไม่อยากเลี้ยงสัตว์ใด ๆในบ้าน และเราก็คิดว่านกนี้อาจจะมีเชื้อโรคที่ทำให้คนในบ้านเป็นไข้เลือดออก เราพยายามเกลี้ยงกล่อมแม่ให้แม่ตามหาเจ้าของของมัน พยายามเกลี้ยงกล่อมยายว่านี้มันไม่ใช่ของของเรา จะเอาของเค้ามาได้อย่างไร แต่แม่กับยายของเรายืนยันว่ายังไงก็จะเลี้ยงนกตัวนี้ เราไม่ชอบเลยที่แม่ พ่อ และยายเห็นดีเห็นงามกับการเอานกของคนอื่นมาเลี้ยง
ไม่ใช่ว่าเราอิจฉานกที่ทุกคนในให้ความสนใจ เราไม่ใช่เด็กที่ขาดความอบอุ่น เพียงแต่ความรู้สึกในตอนนั้นคือเราไม่ชอบ
ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ
เราพูดเกลี้ยงกล่อม ทำทุกวิถีทางให้แม่กับยายเอาไปปล่อยจนยายเราตวาดเสียงดังขึ้นมาว่า
“มึงบ่ะเอา มึงจะไปปาก” (มึงไม่อยากเลี้ยง มึงก็อย่าพูดมาก ประมาณว่าถ้าเธอไม่อยากเลี้ยง เธอก็เงียบๆไว้ เพราะฉันจะเลี้ยงเอง)
เวลาผ่านไปสักสองสามวัน แม่บอกว่าเจอเจ้าของมันแล้ว เป็นพี่ที่อยู่บ้านถัดไปอีกสี่ห้าหลัง พรุ่งนี้เช้าแม่จะไปคุยกับพี่เขา ขอซื้อในราคาสัก 500 เพื่อเอามาเลี้ยง เรายิ่งไม่พอใจอีก เพราะว่าในเมื่อเจอเจ้าของแล้วควรจะให้คืนแก่เจ้าของไป เราคิดในใจ
‘นี้แม่ยังมีหน้าไปขอซื้อเค้าอยู่อีกเหรอ’
ตอนเย็นแม่กลับมา แม่บอกว่านกนี้ไม่ใช่ของพี่เขาเหมือนกัน มันบินมาจากที่ไหนสักแห่งที่อาจจะไกลแสนไกล บินมาด้วยความหิวโหย แล้วจึงมาเกาะอยู่บนไหล่ของพี่เขา พี่เขาเลี้ยงมันได้สักสองอาทิตย์ เอามันยืนเกาะบนไหล่แล้วให้เมล็ดทานตะวันเป็นอาหาร วันหนึ่งมันจึงบินหายไป และสุดท้ายมันก็บินมาพักที่บ้านของเรา
ความรู้สึกไม่พอใจกับการที่เอานกเข้ามาเลี้ยงในบ้านยังมีอยู่ เรายังกลัวเชื้อโรคที่ติดมา เราบอกกับแม่ว่าให้เอามันไปไว้ข้างนอกบ้าน แต่แม่กับยายก็ไม่ยอม เอามันมานอนด้วยในห้องนอนจนได้ มันชอบร้องเสียงแหลมดังในตอนเช้า แม่เราเลยเราเลยเรียกมันว่า จิ๊บๆ เลียนเสียงร้องของนกทั่วไป อาจจะเพราะความน่ารักของมัน เรียกไปเรียกมาเลยกลายเป็น “จิ๊บบี้”
จิ๊บบี้เป็นนกที่โตแล้ว บินเก่ง ขี้ก็เก่ง แต่น่าจะเป็นนกที่เจ้าของ (จริง ๆ) ฝึกมาแล้ว จิ๊บบี้ฉลาด เรียกชื่อแล้วขานตอบ สามารถเดินขึ้นมือได้
จิ๊บบี้ขี้อ้อน ชอบมานอนซุกอยู่ตรงซอกคอเวลาจิ๊บบี้ง่วงนอน เวลาเราอ่านหนังสือหรือทำการบ้านจิ๊บบี้ก็จะมาป้วนเปี้ยนตลอด
เราแทบไม่รู้ตัวเลยว่าความรู้สึกไม่ชอบมันได้เริ่มจางหายไปและแทนที่ไปด้วยความผูกพัน
กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่...
พ่อเราเปิดประตูบ้านทิ้งไว้ และจิ๊บบี้ก็ได้บินออกไปนอกบ้าน
แม่กับเราตกใจมากที่จิ๊บบี้บินออกไป เราพยายามเรียกหา พยายามไขว่คว้าและวิ่งไล่ตาม แต่เท้าของมนุษย์ไม่อาจมีอิสระได้เท่ากับปีกของนก เราวิ่งตามหาจนเหนื่อยหอบ เหงื่อเริ่มผุดซึมไปทั่วร่างกาย ใบหน้าเริ่มมีน้ำตาเปรอะเปื้อน
จิ๊บบี้ได้หายไปแล้ว...
เราวิ่งตามหาประมาณครึ่งชั่วโมง จนแม่บอกว่าให้หยุดตามหาได้แล้ว ปล่อยจิ๊บบี้ไปเถอะ หายังไงก็หาไม่เจอหรอก
เราเดินคอตกเข้าบ้านพร้อมกับความรู้สึกหมดหวัง นั่งพักให้หายเหนื่อย ความเสียใจถูกกลั่นออกมาเป็นน้ำตาหยดลงมาบนใบหน้าอย่างไม่ขาดสาย
“วี๊ดด วี๊ดดดด”
เสียงหนึ่งดังขึ้นมา เราจำได้ทันทีว่านั่นคือเสียงจิ๊บบี้
เรารีบวิ่งออกไปข้างนอกบ้าน เรียกหาจิ๊บบี้สุดแรง “จิ๊บบี้!!!จิ๊บบี้! อยู่ไหน”
“วี๊ด!” เสียงจิ๊บบี้ร้องตอบกลับมาอีกครั้ง หัวใจเราพองโตอย่างบอกไม่ถูก เราพยายามเดินตามเสียงนั่นไป และสุดท้าย เราก็ได้เจอจิ๊บบี้ เกาะอยู่ตรงต้นไม้ข้างรั้วนอกบ้าน
เรารีบคว้าจิ๊บบี้มาอยู่ในกำมือ ตัวเราสั่นเพราะความโล่งอกและดีใจที่ได้เจอจิ๊บบี้อีกครั้ง
เหตุการณ์ครั้งนั้นมันทำให้เรารู้ซึ้งถึงคำที่คนอื่นมักพูดกันว่า ‘เราจะรู้ว่าอะไรมีค่าก็ต่อเมื่อเราเสียงมันไป’
ขอบคุณนะจิ๊บบี้ที่ทำให้ตลอดอายุ 15 ปีของเราได้รู้จักคำ ๆนี้
จิ๊บบี้เป็นนกเลิฟเบิร์ดที่ขี้อ้อน ชอบกัดกระดาษ กัดปกนิยายที่เราหวงแหนซะจนไม่มีชิ้นดี จิ๊บบี้กัดกระดาษไปสร้างรัง ชอบบินไปทั่วบ้าน อึเรี่ยราดอยู่ตรงโซฟาและตามตัวของเรา ชอบมากัดปากกาเวลาเรากำลังทำการบ้าน เวลาเราทะเลาะกับแม่และร้องไห้จิ๊บบี้จะบินมาหาเราและจิบกินน้ำตาของเรา เราไม่คิดว่าสัตว์ตัวแค่นี้จะรับรู้ความรู้สึกของเราได้ เราคิดว่าจิ๊บบี้แค่ดื่มน้ำตาของเราเพราะมันเค็มเท่านั้น
จิ๊บบี้ชอบคนแปลกหน้า เวลาแขกของพ่อมาที่บ้านจิ๊บบี้ชอบไปเกาะอยู่บนหัวของพวกเขา จะพยายามที่จะจิกหู จิ๊บบี้ไม่กัด(จนเลือดออก) ไม่ดุ จิ๊บบี้แค่กัดแบบหยอกๆเท่านั้น
จิ๊บบี้ทำให้โลกเหงาๆของเราเปลี่ยนไป เวลาเราตื่นเราจะเรียกชื่อจิ๊บบี้เป็นอย่างแรก เวลาเรากลับบ้านเราจะเรียกชื่อจิ๊บบี้เป็นชื่อแรกเหมือนกัน
จิ๊บบี้เป็นนกสอดรู้ เวลาใครทำอะไรจิ๊บบี้จะบินไปหาและพยายามเป็นตัวป่วน บางครั้งเราก็รำคาญจิ๊บบี้มาก ๆ แต่บางครั้งเราก็เรียกหาจิ๊บบี้เหมือนกัน
จิ๊บบี้เป็นนกขี้ซุก ชอบซุกอยู่ตามซอกคอ ชอบมุดเข้าไปเล่นอยู่ในเสื้อของพ่อเรา อยู่ในประเป๋าของแม่เรา อยู่ในทุก ๆที่ที่มันเป็นซอก ช่องแคบเล็ก ๆ เวลาไปเที่ยวหรือไปที่ไหนเราก็จะเอาจิ๊บบี้ใส่ตะกร้าไปเที่ยวด้วยกัน
บางครั้งจิ๊บบี้ก็ไม่ชอบบิน แต่ชอบเดินเล่นตามพื้นเต๊าะแตะไปมา จนยายเราพูดว่า “สักมันมึงจะได้โดนย่ำต๋ายละนาไอ่จิ๊บบี้” (เดี๋ยวสักวันเอ็งจะโดนเหยียบตาย)
เรานิยามจิ๊บบี้ว่าเป็น “ของเล่นมีชีวิต”
จิ๊บบี้เป็นสัตว์ตัวแรกที่เราเลี้ยงและผูกพันอย่างลึกซึ้ง ทุกอย่างในตัวจิ๊บบี้ทำให้เรา และทุก ๆคนก็ตกหลุมรักจิ๊บบี้ได้อย่างง่าย ยายเรารักจิ๊บบี้ พ่อแม่รักจิ๊บบี้ พี่ชายและทุกคนในครอบครัวเราก็รักจิ๊บบี้ ใครต่อใครที่เจอจิ๊บบี้ก็รักจิ๊บบี้
เราเข้าไปห้องแลปของโรงเรียนที่ดองซากของสัตว์ไว้ หนึ่งในนั้นคือกระดูกของนกตัวหนึ่ง เราจึงคิดถึงจิ๊บบี้ว่าถ้าจิ๊บบี้ตายจะเป็นอย่างไร แค่คิด น้ำตาเราก็ไหลออกมาแล้ว
แม้จิ๊บบี้จะเป็นนกที่ทั้งขี้อ้อนและซนมาก ๆจนบินหายไปหลายต่อหลายครั้ง แต่พวกเราก็จะตาม จิ๊บบี้กลับมาได้เสมอ แต่ละครั้งที่จิ๊บบี้หายไปเรารู้สึกเหมือหายใจจะขาด เรากลัวว่าจิ๊บบี้จะไม่กลับมาอีก
เย็นวันหนึ่งเราได้ไปเดินเล่นที่ถนนคนเดินสันกำแพงและได้ไปเจอลิ้นทะเลที่ขายอยู่ในร้านขายของสัตว์ เราเคยอ่านเจอว่าลิ้นทะเลมีแคลเซียมสามารถให้นกแทะกินได้ เราซื้อกลับมาและแกะให้จิ๊บบี้ในคืนนั้น เราได้ถ่ายคลิปจิ๊บบี้แทะลิ้นทะเลเอาไว้ แต่จิ๊บบี้คงแทะไม่ค่อยเป็นเลยเมินหน้าหนีจากลิ้นทะเลของเราและบินตามแม่เราที่กำลังเดินขึ้นบ้านไปนอน
เรานั่งดูทีวีอยู่กับยายสองคนข้างล่างบ้าน สักพักมีเสียงแม่ของเรากรี๊ดออกมาดังมาก เรา พ่อและยายตกใจและรีบวิ่งขึ้นไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น ภาพที่เห็นคือแม่ของเราแม่มีแค่ผ้าขนหนูพันตัวเอาไว้อยู่ นั่งทรุดอยู่ลงไปกับพื้นห้องน้ำและร้องไห้ออกมา อีกมุมของห้องน้ำคือร่างของจิ๊บบี้นอนอ่อนแรงหายใจรวยรินอยู่ เลือดของจิ๊บบี้ไหลออกมาจากทางหู
พ่อเรารีบอุ้มจิ๊บบี้ขึ้นมาเป่าตูด แต่มันไม่ช่วยอะไร จิ๊บบี้ค่อยๆอ่อนแรงและหมดลมหายใจไปบนฝ่ามือของพ่อเรา
เราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องน้ำ ทำไมจิ๊บบี้ถึงมีสภาพเป็นแบบนี้ได้ แม่เราก็ไม่รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น เห็นอีกทีจิ๊บบี้ก็นอนอยู่ตรงพื้นแล้ว เราคิดว่าแม่เราน่าจะเหยียบจิ๊บบี้จนตาย
เราไม่เคยคิดที่จะโทษแม่เราเลยว่าเป็นเหตุทำให้จิ๊บบี้ตาย ทำไมต้องทำให้เราเสียใจ เราเข้าใจว่ามันเป็นอุบัติเหตุที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น
พ่อ แม่และเราต่างก็ร้องไห้ออกมา มีแต่เพียงยายเราเท่านั้นที่เข้มแข็งพอที่จะไม่แสดงความรู้สึกใด ๆออกมา
ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนทั้งโลกกำลังพังทลาย จิ๊บบี้ได้จากไปแล้วอย่างไม่มีวันหวนกลับ สิ่งที่เรากลัวมาตลอดได้เกิดขึ้นแล้ว เรานั่งร้องไห้เหมือนคนจะขาดใจ เราไม่เคยเสียใจเท่านี้มาก่อนในชีวิต ความเจ็บปวดมันเกินจะรับไหวมาก ๆ
เราไม่เคยเข้าใจเลยว่าทำไมเวลาคนอกหักถึงได้ร้องไห้ฟูมฟายจะเป็นจะตายขนาดนั้น คนเรามันจะรักกันขนาดไหนถึงต้องอาลัยอาวรหากัน เราเคยบอกกับตัวเองว่าถ้าอกหัก คงไม่มานั่งร้องไห้ฟูมฟายจะเป็นจะตายกับความรักงี่เง่าที่มันเกิดขึ้น
แม่เราเคยเล่าให้เราฟังว่าหมาของเพื่อนที่ทำงานโดนรถชนตาย เขาก็ยังมานั่งร้องไห้ให้แม่เราปลอบอยู่เป็นอาทิตย์ๆ แม่บอก “ตลกเนอะ”
ทำไมมนุษย์ต้องเสียใจกับการจากไปของสัตว์เลี้ยง
เราไม่เคยเข้าใจจนกระทั่งมันเกิดขึ้นกับเรา ภาพทุกอย่างที่เราใช้เวลาร่วมกันกับจิ๊บบี้ไหลย้อนเข้ามาในหัวราวกับน้ำที่ทะลักออกมาจากเขื่อนที่แตก
คนอกหักคงเป็นแบบนี้เองสินะ เราคิด
ไม่ว่าเหตุการณ์จะเป็นแบบไหน สิ่งที่ทำให้เราเสียใจอย่างสุดซึ้งก็คือความรักและความผูกพัน
เราว่าการจากลาของมนุษย์กับสัตว์เจ็บปวดกว่าการจากลาของมนุษย์ด้วยกันเอง มนุษย์เต็มไปด้วยราคะ ตัญหาที่ทุกคนล้วนมี มนุษย์จากไปด้วยอารมณ์สีเทา แต่โลกของสัตว์นั้นไม่เหมือนกัน สัตว์เป็นความรู้สึกที่บริสุทธ์กว่านั้น เป็นเหมือนสีขาวที่จะไม่มีวันแปดเปื้อน
คืนนั้นเองเราไล่ลบรูปที่มีจิ๊บบี้ทั้งหมดออกจากโทรศัพท์ เราไม่อยากมาเห็นภาพที่ทำให้เรารู้สึกเสียใจและอาลัยอาวรณ์ต่อเขา มือสั่นเทาของเราเลื่อนไปลบคลิปที่พึ่งถ่ายไว้ไม่ถึงชั่วโมงก่อนที่จิ๊บบี้จะจากไป จิ๊บบี้ช่างน่าสงสารและเปราะบางเหลือเกิน
เรานอนหลับไปทั้งน้ำตา รุ่งเช้าพ่อเข้ามาปลุกเรา บอกว่าจิ๊บบี้เริ่มตัวแข็งแล้ว พ่อกับแม่จะเอาจิ๊บบี้ไปฝังที่หน้าบ้าน เราเบือนหนีหน้าทั้งน้ำตาและบอกพ่อว่าเราไม่ไป เราจะนอน เราเลือกที่จะวิ่งหนีจากความเจ็บปวดนั้น
จิ๊บบี้เป็นนกที่ทำให้เราได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่าง สอนให้เราเข้าใจเรื่องของความรักมากขึ้น ขอบคุณจิ๊บบี้นะที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเรา มาร่วมสร้างความทรงจำดี ๆร่วมกัน
เวลาจะช่วยเยียวยาทุกสิ่ง นั่นคือความจริง ความเจ็บปวดเริ่มจางหายไป แต่ความคิดถึงยังมีอยู่ บ้านเงียบลงไปถนัดตา เสียงเรียกจิ๊บบี้ของทุกคนก็ไม่มีแล้วเช่นกัน
เราขอให้แม่ซื้อนกตัวใหม่มาเพื่อที่จะทำให้เราตัดใจจากจิ๊บบี้ได้ แม่และพ่อบอกกับเราว่าไม่อยากผูกพันกับอะไรอีกต่อไป เราจึงตกลงกันว่าจะไม่ซื้อสัตว์ตัวไหนมาเลี้ยงในบ้านอีก แต่การตายของจิ๊บบี้กลายเป็นเหมือนรูโหว่ขนาดใหญ่ในใจกลางพื้นที่ของบ้าน รูโหว่ช่องนั้นคือหลุมแห่งความห่วงหา ความอาลัยอาวรณ์ ความรักและความคิดถึง ที่แม้ว่าทุกคนจะระวังให้ไม่ร่วงตกลงไปสักแค่ไหน สุดท้ายเราก็พลาด ก้าวตกลงไปอยู่ดี
แม่คงทนไม่ไหวที่เห็นทุกคนในบ้านเดินตกลงไปในหลุมแห่งนั้น สุดท้านแม่จึงยอมซื้อนกตัวใหม่มาปิดหลุมแห่งนั้นเสียที
พวกเราซื้อนกเลิฟเบิร์ดมาอุดรูโหว่อีก 2 ตัว แต่ ณ ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่เราต้องจากบ้านไปไกลเพื่อไปเรียนอยู่ที่ต่างประเทศเป็นระยะเวลา1 ปี พ่อและแม่ก็ต้องออกไปทำงาน มีแต่ยายเท่านั้นที่เป็นคนเลี้ยงสองตัวนั้น
พวกมันเติบโตมาโดยไม่เชื่องเหมือนจิ๊บบี้ ไม่ยอมให้คนในครอบครัวเข้าใกล้ด้วยซ้ำ สุดท้ายพวกมันก็บินหายไปทั้ง 2 ตัว ถามว่าเราเสียใจไหมกับการหายไป เราก็เสียใจถึงขั้นหลั่งน้ำตา แต่ก็ไม่ได้รู้สึกขาดใจเหมือนกับการจากไปของจิ๊บบี้ อาจจะเป็นเพราะว่าเราไม่ได้รู้สึกผูกพันด้วยล่ะมั่ง ไม่ได้ผูกพันจนกระทั่งที่ว่าเราจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่านกสองตัวนั้นชื่ออะไร
รูโหว่ในบ้านกลับมาเปิดอีกครั้ง แม่กับยายก็ไปซื้อนกเลิฟเบิร์ดมาเพื่อปิดหลุมอีกเหมือนเดิม ครั้งนี้แปลกไปกว่าเดิม แม่โทรไลน์มาหาเราพร้อมแนะนำว่า นกตัวใหม่ เลิฟเบิร์ดพันธุ์มีขอบตา มีชื่อเล่นว่า “คิม”
เวลาล่วงเลยไปนานกว่าหลายเดือนที่เราจะกลับมาเมืองไทย ในที่สุดเราก็ได้เจอกับคิม ครอบครัวเราเดินทางมาจากเชียงใหม่มารับเราที่สนามบินสุวรรณ์ภูมิตอนตี 2 เราที่ทั้งเจทแลค ทั้งเหนื่อยกับการเดินทางสลบไสลไปตั้งแต่ขาก้าวขึ้นรถกลับบ้านพักแห่งหนึ่งในชาญเมือง กรุงเทพมหานคร กว่าจะได้เจอคิมก็รุ่งเช้าวันถัดไป
เราตื่นมาพร้อมกับถามแม่ว่า นกตัวใหม่อยู่ไหน แม่ตอบกลับมาว่าอยู่ในกล่อง ไปปลุกมันเลย เราจึงล้วงมือเข้าไปในกล่องสี่เหลี่ยมเล็กที่ซึ่งเป็นที่นอนของคิม ทันในนั้นเองความเจ็บปวดที่ถูกสั่งการจากสมองลงไปสู่ปลายนิ้วและไหลย้อนกลับมาออกมาเป็นเสียงร้องโหยหวนของเรา เรารับชักมือกลับมาดูและพบว่า เลือดออกเป็นทางยาวไหลออกมาจากนิ้วชี้
คิมกัดเราทำไม!
จากนั้นมาเราถึงรู้ว่าคิมเป็นนกที่ดุมาก ไม่อ่อนโยน ไม่ขี้เล่นเหมือนจิ๊บบี้เลยแม้แต่นิดเดียว มีเพียงบุคคลเดียวที่คิมและเชื่องและไม่กัดคือยาย เหตุเป็นเพราะยายเลี้ยงคิมมาตั้งแต่เด็ก ป้อนข้าว ป้อนน้ำ ให้ตลอด 3 มื้อเวลาอาหาร เพราะแม่เราต้องไปทำงานในช่วงเวลาตอนกลางวัน ทำให้มีเพียงบุคคลเดียวเท่านั้นที่สามารถดูแลคิมได้ซึ่งนั้นก็คือยาย ยายรักคิม และคิมก็รักยายมาก ๆ
สถานการณ์ภายในบ้านระหว่างคิมและครอบครัวเป็นไปอย่างไม่สู้ดีนัก ไม่มีใครเข้าใกล้คิมได้แม้แต่คนเดียวยกเว้นยาย คิมหวงที่ คิมหวงของ คิวหวงยาย คิมหวงทุกๆอย่าง คิมก้าวร้าว ดุอย่างกะสุนักพันธุ์พิทบูที่จะจงรักภักดีต่อจ่าฝูงเพียงผู้เดียวเท่านั้น นิสัยระหว่างคิมและจิ๊บบี้แตกต่างกันอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่คิมและจิ๊บบี้เหมือนกันคือ คิมและจิ๊บบี้เป็นจอมทำลายล้าง คิมกัดกระดาษเหมือนที่จิ๊บบี้ทำ คิมกัดหนังสือของเราและของพ่อเป็นเล่มๆเมื่อเผลอวางทิ้งไว้ คิมกัดกระจกกันรอยหน้าจอโทรศัพท์ของทุกคนในบ้านเมื่อเผลอ แต่ถึงแม้ว่าคิมจะดุหรือไม่น่ารักแค่ไหน แต่คิมก็เป็นนกที่มาผิดรูโหว่ของบ้านได้จริง ๆสักที
เราบอกแม่ว่าคิมดุเกินไป เราอยากได้นกตัวใหม่ เราเข้าไปหาข้อมูลในอินเทอร์เนตมาพบว่า นกแก้วที่มีสายพันธุ์ชื่อว่า ซันคอนัวร์ เป็นนกแก้วที่จัดว่าเป็นนกแก้วขนาดเล็กที่มีความฉลาดที่สุด ทำให้เราสนใจและอยากได้นกอีกสักตัวมาเลี้ยง แต่พอเข้าไปดูราคาเรากลับพบว่านกแก้วพันธุ์นี้มีราคาแพง เราจึงหาข้อมูลเก็บไว้และไปนำเสนอให้แม่ดู เราบรรยายสรรพคุณและนิสัยของนกแก้วซันคอนัวร์ให้แม่ฟัง แม่เริ่มคล้อยตามและบอกว่า เราไปซื้อมาเลี้ยงบ้างไหม แต่พอเราบอกราคาไป แม่กลับนิ่งเงียบ แล้วตอบกลับมาว่า เลี้ยงแค่คิมตัวเดียวก็พอแล้ว หลังจากนั้นมาเราก็เลยเลิกคาดหวังที่จะได้นกแก้วสายพันธุ์นี้มาครอบครอง
วันหนึ่งขณะที่เราไปโรงเรียน แม่เราส่งไลน์มาบอกตอนกลางวันว่า แม่เจอนกหลงมาอีกแล้ว แต่คราวนี้แม่เจอในที่ทำงาน มันไปเกาะอยู่บนต้นไม้และไม่ยอมบินลงมา กระทั่งแม่เอาข้าวเหนียวไปล่อ มันจึงลงมา แม่พิมพ์ไลน์พร้อมกับแนบรูปมาให้ ทันทีที่รูปภาพปรากฏ เรารู้เลยว่านี้เป็นนกแก้วสายพันธุ์ซันคอนัวร์ที่เราอยากได้ เราบอกให้แม่ว่าเก็บใส่กล่องไว้และนำกลับบ้าน แม่บอกว่าจะลองประกาศหาเจ้าของดูก่อนสัก 1 อาทิตย์ ถ้าไม่มีใครติดต่อกลับมาแม่จะให้เลี้ยง เราดีใจมากที่จะได้เลี้ยงนกแก้วตัวใหม่ที่เราใฝ่ฝัน เรารีบกลับบ้านมาด้วยความตื่นเต้นและดีใจ ทันทีที่เราย่ำเท้าเข้าบ้าน เราก็ได้ยินเสียงนกตัวใหม่ร้องมาแต่ไกล นกตัวใหม่นี้ร้องดังมากและยังบินไปทั่วบ้าน บินไปแล้วก็ตก บินแล้วก็ตก อาจจะเป็นเพราะว่ายังเด็กและไม่ได้รับการฝึก นี้อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้นกตัวนี้หลงมา เรารักนกตัวนี้ทันทีตั้งแต่แรกเห็นและบอกกับแม่ว่าเราจะเป็นคนเลี้ยงและดูแลนกตัวนี้เอง
รุ่งขึ้นเราก็ไปโรงเรียนตามปกติ ส่วนแม่ก็ไปทำงานและออกประกาศตามหาเจ้าของนก เพราะความเห็นแก่ตัวของเรา เราคิดในใจว่า ขอให้ไม่มีใครออกตามหานกตัวนี้ เราจะได้เลี้ยงไว้เป็นเจ้าของคนต่อไป ตกเย็นเรากลับมาจากที่โรงเรียนอย่างเร็วไวเพราะว่าเราอยากจะกลับมาเล่นกับนกตัวใหม่ เราป้อนอาหารและเล่นไปสักพัก แม่ก็เข้ามาคุยกับเราว่า แม่จะเอานกตัวนี้ไปให้คนอื่นดูแล เรานั่งอึ้ง น้ำตาคลอเบ้าและเริ่มโวยวายถามถึงสาเหตุ แม่บอกกับเราว่ายายไม่สบายใจที่มีนกตัวนี้มาอยู่ในบ้าน ยายไม่อยากเลี้ยงนกตัวนี้เพราะนกตัวนี้จะเป็นภาระ เราร้องไห้โวยวายออกมา ตะโกนเสียงดัง ขึ้นเสียงใส่ยายว่าทำไม ถ้าย้ายไม่เลี้ยง เราจะดูแลเอง ยายบอกว่าเมื่อคืนยายฝัน ฝันว่ามีคนมาตามนกตัวนี้กลับไป และให้เอาไปคืนที่หน้าวัด ยายบอกว่ามีผีมาทวงคืนนกตัวนี้มีบินหลงมาจากไหนไม่รู้ ยายบอกว่านกตัวนี้เป็น ‘นกผี’
ด้วยความเป็นนักวิทยาศาสตร์ตัวจิ๋ว เราตะโกนออกมาทันทีว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องไร้สาระและงี่เง่า
“นกก็เป็นนก นกจะเป็นผีได้ยังไง”
แม่ซึ่งเป็นคนกลางเริ่มเข้ามาพูดกับเราด้วยเหตุและผล แม่บอกว่าถ้าหากเลี้ยงนกตัวนี้ต่อไป ตอนกลางวันใครจะดูแลถ้าไม่ใช่ยาย แล้วยายบอกว่ายายจะไม่เลี้ยง ใครจะเป็นคนเลี้ยง อีกอย่างหนึ่งคือ คนเฒ่าคนแก่ชอบเก็บอะไรไปฝัน หากวันหนึ่งเกิดอะไรขึ้นด้วยอะไรก็แล้วแต่ ยายก็จะมาโทษแม่ว่าเป็นเพราะแม่ที่ยอมให้เลี้ยงนกตัวนี้และทำให้เกิดเรื่องที่ไม่ดีขึ้น เราเริ่มสงบลง เข้าใจความเป็นเหตุเป็นผลของแม่ แม่บอกต่อว่า พรุ่งนี้จะเอานกไปให้พี่อีกคนเลี้ยงแล้ว เราไม่ต้องเสียใจนะ และในที่สุดนกซันคอนัวร์ตัวใหม่ที่บินหลงมาก็ได้จากไปพร้อมกับเจ้าของใหม่ที่พร้อมจะดูแล เราร้องไห้เสียใจ เราโกรธที่ว่าทำไมความเชื่องี่เง่าของคนโบราณจะต้องทำให้ชีวิตเราไม่มีความสุข
พี่คนที่รับเลี้ยงนกตัวนั้นไปตั้งชื่อให้นกตัวใหม่ว่า ‘เจ้าบับเบิ้ล (bubble)’
ความโกรธและความไม่พอใจยังฝังใจเราอยู่เป็นระยะ ๆ เป็นเพราะว่าแม่ไม่อยากให้เราเสียใจ แม่จึงเสิร์ชหาข้อมูลในเฟสบุ๊คว่าแถวบ้านเราว่ามีที่ไหนขายนกซันคอนัวร์บ้าง แม่ยอมกรีดเนื้อตัวเอง ซื้อนกซันคอนัวร์ตัวใหม่มาให้ในราคา 4700บาท แม่บอกว่าแม่ไม่อยากเห็นเราหน้าตาอมทุกข์ ไม่ยิ้มและทำหน้าเครียดอยู่ตลอดเวลา แม่ไปคุยกับพี่เขาที่เลี้ยงแล้วว่าแม่จะผ่อนให้เขาเดือนละ 1000 บาท เราดีใจมากที่จะได้นกซันคอนัวร์ตัวใหม่ เรามาบอกพ่อ มาบอกยายว่าเราจะซื้อนกตัวใหม่ พ่อบอกว่ามันแพงเกินไปหรือเปล่าที่จะซื้อนกแค่ตัวเดียวในราคา 4700บาท แต่ตอบกลับไปว่า ซื้อความสุขให้ลูก ซื้อไปเถอะ พวกเราทั้งบ้านจึงมานั่งคิดชื่อให้นกตัวใหม่ก่อนที่เราจะไปรับนกมา
ตอนแรกเราจะตั้งชื่อนกเราว่าเมาโรรี ชื่อนี้มาจากเมื่อสมัยตอนเราไปแลกเปลี่ยน เราแอบชอบผู้ชายคนหนึ่งมาก ๆ ผู้ชายคนนั้นชื่อว่า Mallory ด้วยความฝังใจเราเลยอยากให้นกเราชื่อเหมือนผู้ชายคนนั้น(แรดเนอะ) แต่พ่อเราบอกว่า ชื่ออะไร ชื่อไม่สวยเอาซะเลย พ่อจึงเปลี่ยนชื่อให้ใหม่ เป็นชื่อที่เพราะและสวยงามกว่าเดิม ชื่อว่า “เมรี”
จนในที่สุดที่ถึงวันนัดรับ เราก็ได้เจอเมรีที่ยังเด็ก ๆอยู่ สีเขียวเข้มทั้งตัว เรารักเมรีตั้งแต่แรกเห็น เมรีเป็นนกที่รักของทุกคนเพราะว่าเราฝึกเมรีมาตั้งแต่เมรีเป็นเด็ก ฝึกขึ้นมือ ฝึกบิน ฝึกเรียกไปกลับได้ เมรีได้รับความเอาใจใส่เป็นอย่างดี เราเลี้ยงเมรี ส่วนยายก็เลี้ยงคิม ด้วยการเลี้ยงดูอย่างเอาใจใส่ประกอบกับนกแก้วสายพันธุ์นี้เป็นสายพันธุ์ที่ฉลาด ทำให้เมรีเติบโตมาเป็นนกที่ฉลาดมาก กินเก่ง อ้อนเก่ง เมรีตามเราไปทุกที่ไม่ว่าจะเป็นอาบน้ำ แปรงฟัน เข้าห้องน้ำไปอึ เมรีจะตามติดเราเหมือนปลิง เรารักเมรีมาก เมรีบินเก่งมาก เราปล่อยเมรีบินได้อย่างอิสระเพราะว่าเราฝึกเมรี เมรีชอบขึ้นไปอยู่บนสายไฟฟ้า ห้อยตัวต่องแต่งลงมาโดยการเกี่ยวไว้กับเท้าข้างเดียว และบินไปมาอย่างอิสระและมีความสุข เมรีพูดได้คือคำว่า ‘ครับ’กับ ‘แม่’
เราชอบเรียกเมรีเสียงดังว่า “เมรี!!!!!!!!!”
เมรีจะพงกหัวลงหนึ่งครั้งแล้วตอบกลับมาว่า “คับ” (นกออกเสียงควบกล้ำไม่ได้)
จนวันหนึ่งยายเราได้จากไปอย่างกะทันหัน คิมก็ไม่มีผู้เป็นที่รักอีกต่อไป ประกอบกันช่วงนั้นพี่ที่เคยเอาบับเบิ้ลไปเลี้ยงมีปัญหากับการเลี้ยงทำให้เค้าไม่สามารถเลี้ยงบับเบิ้ลได้อีกต่อไป ยายเราก็ไม่อยู่ให้กลัวนกผีตัวนั้นแล้ว ทำให้แม่ไปพาบับเบิ้ลกลับมา และเราตั้งชื่อใหม่ให้บับเบิ้ลว่า‘ส้มจี๊ด’
ตั้งแต่ยายเราจากไป เราก็ไม่เห็นว่าคิมมีท่าทางเศร้าสร้อยอะไร คิมก็ยังเป็นคิม เป็นนกแก้วเลิฟเบิร์ดอินดี ๆตัวหนึ่งที่ไม่สนใจโลกภายนอกสักเท่าไหร่ ความแปลกของมนุษย์มีอยู่อย่างหนึ่ง มนุษย์ที่ชื่อว่าเป็นสิ่งมีชีวิตขั้นสูงที่ฉลาดที่สุด มนุษย์ผู้มีมันสมอง มีความรู้สึกนึกคิด มีจิตใต้สำนึก เมื่อมนุษย์มีความคิดเป็นของตนเองแล้วนั้น มนุษย์จึงชอบคิด ยัดเยียดความรู้สึกและความเป็นตัวเองไปให้ผู้อื่นอยู่เสมอไม่เว้นแม้กระทั่งกับสัตว์ เมื่อเราคิดว่าคิมคงเป็นเหมือนมนุษย์ทั่วไป เมื่อคนในบ้านจากไปแล้ว คิมอาจจะคิดถึงยาย พวกเราสงสัยกันอยู่เสมอว่า คิมจะรับรู้หรือเปล่าว่ายายได้จากโลกนี้ไปแล้วเหมือนจิ๊บบี้ แม่จึงดูแลคิมเป็นอย่างดีต่อจากยาย เมื่อคิมได้รับการดูแลจากแม่ คิมก็เชื่องแค่แม่ แต่สุดท้ายคิมก็ยังเป็นนกอินดี้ชอบกัดคนอื่นอยู่ดี
เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะ เราก็ได้จบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายจากจังหวัดเชียงใหม่ และได้ย้ายมาเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง วันหนึ่งแม่ก็ได้ไลน์มาบอกเราอีกแล้วว่า “มีนกหลงมาอีกแล้ว” คราวนี้เป็นนกเลิฟเบิร์ด สถานที่เกิดเหตุยังคงเป็นที่เดิมคือ นกที่หลงบินมาเกาะอยู่ตรงต้นไม้ที่ทำงานแม่ แม่จึงเอากลับบ้านมาประกาศหาเจ้าของ เป็นนกตัวสีเขียวเข้มกว่าคิมนิดหน่อย หน้าตา ท่าทางกวนโอ๊ย จุดจบสุดท้ายก็เหมือนเดิมคือไม่มีใครติดต่อมาเป็นเจ้าของ สุดท้ายแม่เราก็เลยรับมาเลี้ยงอีกตัว ตั้งชื่อให้ว่า “ชาเขียว” สรุปตอนนี้บ้านเราก็มีนกรวมทั้งหมด4 ตัว
หากเรียงตามอายุจากมากไปน้อย ก็จะเป็น
“คิม ส้มจี๊ด เมรี ชาเขียว”
นี้เป็นที่มาของโรคนกงอก
นิสัยของนกสี่ตัวแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
คิมเป็นนกอินดี้ ชอบเก็บตัว ไม่สนใจใคร คิมจะหมกมุ่นอยู่กับการกัดกระดาษและนั่งอยู่เฉยๆ เมรีเป็นนกฉลาด ขี้อ้อนแต่ซุกซนมาก อยู่ในช่วงวัยรุ่นที่กำลังอยากรู้อยากลอง ส้มจี๊ดเป็นนกที่เอ๋อ เชื่องช้า ไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราว ส้มจี๊ดบินไม่ค่อยเก่งเพราะตอนที่ส้มจี๊ด(ตอนนั้นยังชื่อว่าบับเบิ้ล) ไปอยู่กับพี่อีกคน พี่เขาขลิบปีกส้มจี๊ดให้ไม่บินเลย ส้มจี๊ดชอบนั่งและทำท่าปริบๆ แต่ส้มจี๊ดเป็นนกที่ขี้อ้อนมาก ขี้อ้อนขั้นสุด เรียบร้อย ว่านอนสอนง่าย ส่วนตัวสุดท้าย ชาเขียว ชาเขียวเป็นนกตัวที่ทุกคนปวดหัว เพราะชาเขียวชอบเสียงดัง ไม่ให้ใครจับ ชอบบินหนี เวลานอนก็ไม่ยอมนอน ข้อสันนิฐานที่พวกเราคิดกันว่าสิ่งที่ทำให้ชาเขียวกลายเป็นแบบนี้เพราะว่าชาเขียวคงเป็นนกที่อยู่แต่ในกรงก่อนที่จะหลุดออกมา คงไม่ได้รับการฝึกใด ๆ
หากเปรียบเทียบนกทั้งสี่ตัวของเราเป็นเหมือนมนุษย์ คิมคงเป็นมนุษย์โลกส่วนตัวสูง เก็บตัวไม่ยุ่งกับใคร อินดี้ มีความติสแตกมาก ๆอยู่ในตัวเอง เมรีคงเป็นมนุษย์ผู้รักอิสระ ชอบออกเดินทาง เป็นผู้มีความคิดสร้างสรรค์ มีความมั่นใจในตนเองสูง มีภาวะความเป็นผู้นำ มีความเอาแต่ใจอยู่เล็กน้อย ซุกซนและมีความเป็นเด็กอยู่ในตัวเสมอ ส้มจี๊ดคงเป็นลูกคุณหนูเรียบร้อยที่ถูกเลี้ยงดูมาในกรอบไม่ทำโน่นทำนี่ พอโตมาเลยกลายเป็นคนที่มีความเขินอาย ไม่ค่อยกล้าที่จะทำอะไร หรือจะทำก็ต่อเมื่อมีคนชักนำให้ทำ (ซึ่งนั่นก็คือเมรี) ส่วนตัวสุดท้ายคือชาเขียว หากเปรียบชาเขียวเป็นคน ชาเขียวคงเป็นเหมือนเด็กใจแตกที่ไม่ได้รับการศึกษา ไม่มีมารยาทและนิสัยไม่ดี แต่ในความไม่ดีก็ยังมีความน่าสงสาร ชาเขียวมีความน่าสงสารตรงที่ว่า เพราะการเลี้ยงดูแบบนั้น(เจ้าของเก่า) ทำให้ชาเขียวโตมาเป็นคนแบบนี้
ด้วยความที่นก 4 ตัวแต่ต่างสายพันธุ์ (คิมชาเขียว – เลิฟเบิร์ด,เมรีส้มจี๊ด - ซันคอนัวร์) ทำให้เมรีจะอยู่แต่กับส้มจี๊ด และคิมก็อยู่กับชาเขียว อยู่กันเป็นคู่ ๆ และทั้งสองคู่นี้ ‘ไม่ถูกกัน’ทุกวันนี้นก 2 คู่ 4 ตัว ต่างคนต่างอยู่ ไม่มีปฏิสัมพันธ์อันใดต่อกันยกเว้นจะตีกันเมื่อ 1. แย่งอาหารกัน2. แย่งเจ้าของกัน
แต่ท้ายสุดแล้วเราก็รักนกทุกตัวที่มาอยู่ในบ้านเรา มาอยู่ในครอบครัวของเรา เป็นที่รักของทุก ๆคน ในการเลี้ยงสัตว์เราจะพึงระลึกไว้เสมอว่า เราอาจจะมีใครสักคนที่เป็นโลกทั้งใบของเราแต่สำหรับสัตว์ เราคือโลกทั้งใบของเขา
นกทั้งสี่ตัวมาปิดรูผนึกรูโหว่ในบ้านได้อย่างสนิท
สุดท้ายนี้ สำหรับเรา เราคิดว่าสัตว์เลี้ยงทุกชนิด ได้คืนความเป็นชีวิตให้กับมนุษย์มากขึ้น ในวันที่แย่ๆ วันที่เราร้องไห้ เรายังมีนกที่มาคอยจิกกินน้ำตาของเราที่ไหลลงมา เราว่านกเราอาจจะไม่รับรู้ถึงความเสียใจของเราหรอกมั่ง แต่นกเราอาจจะชอบน้ำตาเพราะมันเค็มล่ะมั่ง แต่การร้องไห้ไปและมีนกจิกกินน้ำตาไป ก็ยังดีกว่าการนอนร้องไห้คนเดียวอ่ะนะ
เลดี้กลิตเตอร์วาวๆ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]
<< หน้าแรก