วันอังคารที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2562

คุณพระอาทิตย์

คุณพระอาทิตย์

เคยได้ยินประโยคนี้ป้ะ? ชีวิตมันต้องมีอะไรให้ยึดเหนี่ยว  ไม่งั้นคุณก็จะไม่รู้ว่าจะอยู่ไปทำไม อาจจะเป็นเรื่องง่ายๆเช่น เกมที่จะวางขายเดือนหน้า เฝ้ารอหนังสือที่จะออกเล่มต่อไป อัลบั้มเพลงของศิลปินที่ชอบชุดใหม่ หรือรอยยิ้มของใครสักคน’ เราว่าประโยคนี้ไม่ได้เกินจริงเลย ช่วงที่ผ่านมาเรามักจะมีคำถามเกิดขึ้นมาในหัวของตัวเองเสมอว่า คนเราเกิดมาทำไมวะ แล้วทำไมเราต้องเกิดมา เกิดมาก็เหนื่อย ชีวิตไม่เห็นเป็นเหมือนตอนเด็กที่วาดฝันเอาไว้เลย ทำไมเราถึงโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่ได้เป็นไปตามที่เราคาดหวัง แต่ไม่ได้น้อยใจในตัวเองหรืออะไรนะ เพียงแค่เกิดการตั้งคำถามกับตัวเองเฉยๆ เพราะรู้สึกว่าชีวิตที่เป็นอยู่ทุกวันนี้มันก็เรื่อย ๆ ไม่ทุกข์แต่ก็สุขไม่มาก พยายามจะยิ้มและขอบคุณกับทุก ๆเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิต ขอบคุณประสบการณ์และทุกอย่างที่ทำให้เราเติบโตมาเป็นเราจนถึงทุกวันนี้ แต่บางวันก็ยิ้มไม่ออกจริง ๆว่ะ จะร้องก็ร้องไม่ออก เหมือนมันตันอยู่ในอก เราเป็นคนที่ไม่ได้เก็บความรู้สึกอะไรมากมายไว้กับตัวนะ แต่แค่รู้สึกว่าไม่อยากเอาความเศร้าของตัวเองมาทำให้คนรอบข้างเป็นทุกข์เท่านั้นเอง

เรื่องทุกข์ในชีวิตก็คงมีไม่กี่เรื่อง (แน่นอนว่าผู้ชายไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เราเป็นทุกข์แม้เราจะบ้าผู้ชายมากก็ตาม) ทุกข์สุดๆก็คงเป็นเรื่องเรียนนี้แหละ ถามว่าเรียนแล้วมันสนุกมั้ย มันก็สนุกในแบบของมัน แต่มันน่าเบื่อว่ะ แม่งใช้ชีวิตเหมือนเป็นนาฬิกาเรือนหนึ่งที่เดินครบเข็มชี้เลข 12 แล้วก็กลับมานับหนึ่งใหม่อีกครั้งอ่ะ ตื่น ไปเรียน กลับหอ ออกกำลังกาย อ่านหนังสือบ้าง นอน วนลูปเหมือนเดิม ยิ่งกว่าหนังเรื่อง doctor stranger อีก (ไปดู สนุกดี) รู้สึกว่าหมกมุ่นกับการเรียนมากเกินไปจนไม่มีเวลาทำอะไรเลย ความจริงถ้าจะทำมันก็มีแหละ แต่เราแค่แบ่งเวลาไม่ถูกเท่านั้น 

เหนือกว่าการเรียนคือเราอยากออกไปใช้ชีวิตมากกว่า แต่ก็รู้ตัวเองดีว่าโลกความจริงแม่งโหดร้ายสัส บางทีก็คิดนะว่า ทำไมแม่กูไม่ถูกหวย200 ล้านเลยวะ จะเดินไปคณะพรุ่งนี้แล้วเซ็นต์ใบลาออกแม่งเลย แต่เพ้อเจ้อว่ะ ชีวิตจริงมันจะเป็นแบบนั้นได้ไง ต้องเป็นหนึ่งใน 70 ล้านกว่าคนที่จะถูกหวยในประเทศนี้ ผู้นำก็ห่วยแตก ฝนตกน้ำก็ท่วม รถก็ติด เฮ้อ ทำได้แค่บ่นแล้วทนอยู่ต่อไป เรื่องความทุกข์ของตัวเองนี้ก็พูดยากนะ เหมือนที่บอกไป ไม่อยากเอาความทุกข์ของตัวเองไปโยนให้ใครรับฟัง คนฟังก็ทุกข์ตาม เหมือนแม่ บางครั้งก็เหนื่อย เหนื่อยจนบางครั้งมันท้อว่า ทำไมต้องมาอยู่ในจุดที่ชีวิตไม่มีความสุขด้วย เหนื่อยเรื่องเรียนนี้แหละ พอพูดเรื่องนี้กับแม่ แม่ก็จะพลอยเครียดไปด้วย แม่บอกจะคิดมากทำไม แล้วพอเราเล่าให้แม่ฟัง แม่ก็จะเครียดตาม สุดท้ายพอแม่เครียด เราก็รู้สึกว่าเครียดตามด้วย action = reaction = reaction อีกรอบ เราแค่รู้สึกว่าเราอยากจะพูดในสิ่งที่เราอยากพูดให้ใครสักคนฟัง แค่อยากมีคนรับฟังเรื่องที่เราเหนื่อยและท้อเฉยๆ ความจริงสิ่งที่เราพูดออกมามันเป็นแค่การระบาย แต่ไม่ได้หมายความว่าเราอยากทำสิ่งนั้น 100% แน่ ๆ (ในความรู้สึกอาจจะสัก 70% แต่ก็ไม่ใช่เต็มร้อย เกทป้ะ?) พอรู้ว่าพูดกับแม่ (ที่ปกติแล้วเราสามารถเล่าทุกอย่างให้ฟังได้ ทุกเรื่องเลยนะ ทุกเรื่องจริง ๆ) ไม่ได้เราก็เลยต้องมาเขียนระบายกับตัวเองในนี้แทน อย่างน้อยก็รู้สึกว่าก็ยังมีตัวเองแหละว้าที่รับฟังตัวเราเองและเข้าใจตัวเองได้มากที่สุด

แต่เราว่าเราหาที่ยึดเหนี่ยวของเราเจอแล้วว่ะ เป็นคนที่อบอุ่นเหมือนพระอาทิตย์ พระอาทิตย์ที่มีดวงเดียวในระบบสุริยะจักรวาลของกาแลกซี่ทางช้างเผือก เหมือนเกินไปจนทำให้เราที่เป็นแค่ต้นไม้โง่ๆต้นหนึ่งสัมผัสได้ถึงแค่ความอบอุ่นที่เขาแผ่มา แต่ต้นไม้ก็ไม่ได้มีแค่ต้นเดียวบนโลกใบนี้ป้ะ? เราหมายความว่า ความอบอุ่นของเขามันแผ่กระจายครอบคลุมไปทั่วโลกและเราก็ไม่ใช่แค่ต้นไม่ต้นเดียวที่ได้รับความอบอุ่นนั้น งั้นเราจะเรียกเขาว่า คุณพระอาทิตย์’ ก็แล้วกันนะ มาฟังเรื่องของคุณพระอาทิตย์กันดีกว่า 

คุณพระอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์ที่กำลังส่งถ่ายพลังงานความร้อนให้แก่ต้นไม้ต้นอื่น ๆ และตัวเราที่อาศัยอยู่แต่ในที่ร่มจึงได้รับพลังงานความร้อนจากหลอดไฟหลายดวงเท่านั้น แสงแดดของคุณพระอาทิตย์จึงไม่ส่งถึงเราตั้งแต่ตอนแรก  เพราะแกนของโลกที่เอียงทำให้องศาในการส่องแสงของคุณพระอาทิตย์เปลี่ยนทิศทางไป วันหนึ่งในขณะที่คุณพระอาทิตย์กำลังส่องแสงให้ต้นไม้ต้นอื่นได้เจริญเติบโต แสงแดดของคุณพระอาทิตย์ก็ได้ขยับและเล็ดลอดเข้ามาในพื้นที่ที่เราเคยอยู่ พลังงานความร้อนจากหลอดไฟจะไปสู้ความร้อนของคุณพระอาทิตย์ได้อย่างไรกัน ต้นไม้ต้นนี้จึงค่อยๆบิดเบี้ยวออกไปจากที่แห่งนี้และสุดท้าย เราก็ได้รับพลังงานจากคุณพระอาทิตย์ที่จะทำให้เราเติบโตและผลิบานได้อย่างเต็มที่

นี้คือเรื่องของคุณะพระอาทิตย์

เราชอบคุณพระอาทิตย์มากขึ้นทุก ๆวัน ในทุก ๆการกระทำของคุณพระอาทิตย์ทำให้เราอบอุ่นหัวใจเป็นอย่างมาก และเมื่อไม่นานมานี้ยิ่งเราได้รู้จักสวนดอกไม้แห่งความลับของคุณพระอาทิตย์แล้ว สิ่งนั้นทำให้เรายิ่งตกชอบคุณมากขึ้นไปอีก เราชอบทัศคติ วิธีการมองโลกในแง่ดีแบบคนที่มีประสบการณ์ผ่านโลกมามาก หรือจะเป็นความอ่อนโยนของคุณที่ได้มอบให้แก่ผู้อื่น เวลาเราเหนื่อยหรือท้อ เราจะแผ่ขยายใบเพื่อที่จะได้รับพลังงานจากคุณพระอาทิตย์ได้อย่างเต็มที่ เรารู้สึกว่าเราอยากทำตัวเองให้เป็นคนดีกว่าเดิม เป็นคนที่เก่งกว่านี้ เพื่อที่วันหนึ่งคุณพระอาทิตย์ส่องแสงลงมา จะได้ภูมิใจในตัวเราว่าพลังงานของคุณนั้นทำให้เราเติบใหญ่ แผ่กิ่งก้านสาขา และหยั่งรากลึกลงไปในผืนดินได้อย่างหนักแน่น 

เราไม่รู้ว่าเราจะชอบคุณพระอาทิตย์ไปได้อีกนานแค่ไหน แต่เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตกลงแล้วเราชอบคุณหรือรักคุณพระอาทิตย์กันแน่ แต่เราอยากจะบอกว่าขอบคุณคุณพระอาทิตย์มาก ๆที่ส่องแสงมายังเรา และเป็นกำลังใจให้เราในยามที่เรารู้สึกหมดหวัง คือในทุก ๆการกระทำของเรา เราก็ไม่อยากให้คุณพระอาทิตย์ผิดหวังในตัวเราเหมือนกัน ถึงแม้ว่าคุณพระอาทิตย์จะไม่รู้ต้นไม้ต้นนี้ผลิบานได้อย่างสวยงามแค่ไหนก็ตาม

ขอบคุณคุณพระอาทิตย์และสวนดอกไม้แห่งความลับของคุณที่ได้เข้ามาเปลี่ยนชีวิตเราให้เป็นคนที่ดีขึ้นอีกหน่อยหนึ่ง ความจริงแล้วเราไม่ค่อยชอบแมวเท่าไหร่หรอก แต่เราอยากเลี้ยงแมวเพราะคุณพระอาทิตย์เลย คุณพระอาทิตย์เป็นคนรักสัตว์มาก ความจริงแล้วคุณก็ใจดีกับทุก ๆคนนั่นแหละ และก็ขอบคุณคุณพระอาทิตย์ที่ทำให้เรารู้ว่าโลกใบนี้ไม่ได้โหดร้ายขนาดนั้นเมื่อมีคุณอยู่ เราว่าใครได้ดวงอาทิตย์ดวงนี้เป็นแฟนแม่งจะเป็นคนที่โคตรโชคที่สุดในโลกคนหนึ่งยิ่งกว่าแม่เราถูกหวย 200 ล้านอ่ะ อิจฉาว่ะ แต่ตอนนี้คุณพระอาทิตย์ก็ยังไม่มีแฟนเราก็ยังมีโอกาสใช่มั้ย? ฮ่า ๆ มโน แต่คุณส่องแสงสว่างและอยู่ไกลเกินไปจนต้นไม้อย่างเราเอื้อมไม่ถึง  หากวันใดวงโคจรของระบบสุริยะเปลี่ยนไปและแรงโน้มถ่วงโลกเหวี่ยงให้เราสองคนหลุดออกจากวงโคจรนี้ เราหวังว่าจะได้เจอคุณที่จุดตัดจุดใดจุดหนึ่งบนจักรวาลนี้นะ 

อีกอย่างหนึ่ง แม้ความคิดนี้จะสามารถเป็นจริงได้แค่ 1% ก็ตาม เราหวังว่าทั้งเราและคุณพระอาทิตย์จะเป็นอีกครึงหนึ่งของกันและกันที่โดนพระเจ้าฉีกออกมาตามเรื่องเล่านิทานของเพลโตนะ


เลดี้กลิตเตอร์วาวๆ อ่ะจริงดิ!  
24/09/19

เหงาว่ะ

เหงาว่ะ                                  

ช่วงนี้รู้สึกเหงาๆยังไงก็ไม่รู้ หรืออาจจะไม่ได้เหงาแค่ช่วงนี้ อาจจะเหงามาตลอด พออยู่กับเพื่อนก็มีความสุขนะ มีเพื่อนคุย เพื่อนไปเที่ยว พยายามหากิจกรรมให้ตัวเองทำ จะได้ไม่ฟุ้งซ่านหรือเหงามาก แต่บางครั้งก็รู้สึกว่าเหนื่อย อยากนอนพัก อยากอยู่กับตัวเองมากกว่า พอกลับมาอยู่กับตัวเองก็เหงาอีก มันสลับกันไปมาหาจุดพอดีไม่ได้ มันจะมีช่วงที่อยู่กับคนอื่นแล้วมีความสุข และอยู่กับตัวเองแล้วมีความสุข และก็มีช่วงที่อยู่กับคนอื่นแล้วไม่มีความสุข และอยู่กับตัวเองก็ไม่มีความสุข ตอนต้นปีได้เขียนเป้าหมายที่จะทำให้สำเร็จไว้ลงในไดอารี่ส่วนตัว หนึ่งในเป้าหมายที่ตั้งไว้คือ จะต้องมีความสุขให้กับทุกวันของชีวิต แต่ผ่านต้นปีมาไม่กี่วันก็ไม่มีความสุขแล้ว ฮ่า ๆ เพราะว่าติดเอฟอีกแล้ว ตอนนั้นเศร้ามาก ทุกข์มาก กลับมาในวังวนเดิม คิดว่าแทนที่จะได้พักอยู่บ้านแบบสบายๆ นอนกกนกตอนปิดเทอมกลับต้องมาเรียนซัมเมอร์ ช่วงนั้นความคิดตีกันในหัวสุดๆไปเลยว่า ไหนบอกว่าจะมีความสุขในทุก ๆวันของชีวิตไง แต่ทำไมตอนนี้ถึงร้องไห้ซะแล้วล่ะ แต่เวลาก็ทำให้มันดีขึ้นนะ ก็ทำใจ ปล่อยวาง โทษตัวเองบ้างว่าไม่ตั้งใจเรียนเอง เอฟก็ช่างแม่ง (กำลังปลอบใจตัวเองอยู่) แก้เอาทีหลังก็ได้ หลังจากนั้นเวลามีความทุกข์ที่ส่วนมาก 95% จะมาจากเรื่องเรียน คำสัญญาที่ให้ไว้กับตนเองตอนต้นปีว่า จะมีความสุขในทุก ๆวันของชีวิต’ ก็จะผุดขึ้นมาในหัวอยู่เสมอ มันก็พอได้ผลนะ มันทำให้เราหายเศร้าแล้วมีความสุขขึ้นมาอีกนิดหน่อย อย่างน้อยก็ไม่ค่อยทุกข์ใจเหมือนที่ผ่านๆมา อะไรที่เกิดขึ้นสามารถสกัดได้ด้วยคำ ๆเดียวคือคำว่า ช่างแม่ง

การที่คนเราจะมีความสุขในทุกวันของชีวิตแม่งเป็นไปไม่ได้หรอก มนุษย์ไม่ได้มีพลังวิเศษถึงขนาดที่จะจัดการกับความรู้สึกของตัวเองได้ดีขนาดนั้น

เราว่าปัญหาของเราคือเรื่องเพื่อน หรืออาจจะเรียกว่าปัญหาการเข้าหาคนก็ได้ อีกหรือก็คือการอยู่ร่วมกันกับเพื่อนคนอื่น ๆ มันไม่ใช่ปัญหาที่หมายความว่าเราเป็นคนหยิ่ง หรือเข้ากับเพื่อนไม่ได้นะ แต่เรารู้สึกว่า ถ้าไม่สนิทกันแบบสนิทสนิทแบบนี้ เราอยู่กับตัวเองแล้วมีความสุขมากกว่า อย่างเช่นตอนเช้ากินข้าวที่คณะก่อนขึ้นไปเรียน เราสังเกตว่าคนอื่นจะถือข้าวมาแล้วหาเพื่อนนั่งด้วย เพื่อนนี่ที่ว่าหมายถึง ไม่ได้สนิทกัน แต่คุยกันได้ เจอกันรู้จักกัน แล้วเข้าไปนั่งด้วยกัน แต่เรากลับรู้สึกอึดอัดว่ะ เรารู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ดีที่เราจะอยู่ตัวคนเดียว เราควรไปทำความรู้จักกับเพื่อนคนอื่น ๆ ในคณะหรือในภาคบ้างแต่เรารู้สึกดีมาก ๆที่จะนั่งคนเดียวแล้วกินข้าวเงียบๆดีกว่า อยากแก้นิสัยของตัวเองตรงนี้จั 

ส่วนเพื่อนที่เรียกว่าสนิทๆในคณะก็มีอยู่ไม่ถึง5คน แต่ละคนก็คือนิสัยเหมือนเราเลยคือชอบอยู่กับเพื่อน และชอบอยู่กับตัวเองด้วย หาจุดกึ่งกลางไม่ได้ 

เราอยากมีเพื่อนเยอะๆนะ เราเคยลองไปหาเพื่อนใหม่ๆด้วย ตอนเข้าภาคแล้วมีค่าย เราได้จับกลุ่มอยู่กับเพื่อนที่เราเคยเห็นหน้าแต่เราไม่เคยคุยด้วย เราคิดว่านี้แหละคือโอกาสที่เราจะได้ทำความรู้จักกับผู้คนใหม่ๆ สังคมใหม่ๆ พวกเราเล่นเกมกันโดยการจับกลุ่มแล้วหาสิ่งที่พวกเราทั้ง 10 คนในกลุ่มมีสิ่งที่ชอบเหมือนกัน จากนั้นก็เสนอให้อาจารย์ฟัง เพื่อนก็เสนอสิ่งต่าง ๆ มาว่ามีอะไรที่ชอบหรือไม่ชอบบ้าง มีเพื่อนคนหนึ่งเสนอมาว่า มีใครชอบหน้าหนาวบ้าง เกือบทุกคนยกมือว่าชอบหน้าหนาว แต่เราที่เคยไปแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศ เจออากาศที่ทั้งหนาวและแห้ง ทำให้เราขยาดกับหน้าหนาวมาก เราเลยบอกว่าเราชอบหน้าร้อนมากกว่า เรากำลังจะบอกเหตุผลว่าทำไมเราถึงชอบหน้าร้อน เพราะเราคิดว่ากิจกรรมแบบนี้เป็นกิจกรรมที่จะให้เพื่อนๆในกลุ่มได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและพูดคุยกัน ในขณะที่เรากำลังอ้าปากและเปล่งเสียงออกมาว่า “เราไม่ชอบหน้าหนาวเลยว่ะ เราชอบหน้าร้อนมากกว่าเพราะว่า...” เพื่อนคนหนึ่งก็พูดแทรกขึ้นมาว่า พอ ไม่ต้องพูดหรอก เสียเวลา แล้วจากนั้นก็ถามคำถามต่อไปว่าตกลงใครชอบอะไรบ้าง 

ตอนนั้นความรู้สึกเราคือ แดกจุด กรีดร้องในใจแล้วบอกว่า อีเหี้ย’ ฮ่า ๆ แต่เราไม่ได้โมโหนะ ไม่ได้โกรธด้วย แค่รู้สึกว่า อิหยั๊งวะ หลังจากเหตุการณ์นั้น เราก็ไม่อยากคุยกับเพื่อนคนนั้นอีกเลย เป็น first impression ที่แย่มาก ๆแล้วเราก็ไม่อยากทำความรู้จักกับใครละด้วย เราคิดว่าเดี๋ยวแรงดึงดูดของโลกแม่งก็เหวี่ยงคนที่เหมือนๆ กันมาให้เราเองแหละ 

เรามีความสุขมาก ๆที่ได้อยู่กับเพื่อนตอนมหาลัย แต่เราว่าความรู้สึกนั้นมันฉาบฉวย มันไม่คงอยู่ ไม่เหมือนความรู้สึกเหมือนเพื่อนสมัยมัธยม อาจเป็นเพราะว่าเรารู้จักกันมาแค่ ปี ไม่เหมือนเพื่อนมัธยมที่รู้จักกันมาทั้งชีวิตตั้งแต่ตอนประถม แต่เพื่อนมหาลัยที่คบกันก็เป็นเพื่อนที่ดีมาก โชคดีที่ได้เจอคนดี ๆและจริงใจ 

ความจริงไม่มีอะไรหรอก แค่มาบ่นให้ฟังเฉยๆว่า เหงาว้อยยยยยยยยย อยากเปลี่ยนนิสัยตัวเองให้เป็นคนที่ active มากขึ้น ออกไปทำกิจกรรมมากขึ้น ฟังเพลง ดูหนัง ดูงานศิลปะ ทำนู่นทำนี่ ขุดตัวเองให้ออกจาก safe zone ของตัวเอง เผื่อว่าจะได้เจอสังคมที่ใช่กับเราจริงๆ แต่เราเป็นคนที่ไม่ชอบความวุ่นวาย ไม่ชอบเสียงดัง ไม่ชอบที่ที่คนเยอะๆ เพราะฉะนั้นเวลาเราหากิจกรรมให้ตัวเอง เราจะพยายามหาอีเว้นที่เกี่ยวกับงานศิลปะ ดูหนังนอกกระแส ฟังเพลงนอกกระแส แต่ก็ไม่ได้ไปสักทีนะ เพราะ ขี้เกียจ เป็นปัจจัยแรก และไม่มีใครไปด้วย ปัจจัยรองลงมา เราอยากให้เวลาที่เราไปดูหนัง ฟังเพลง หรือทำกิจกรรมอะไร จะมีคนที่ into (เราหมายถึงอิน) เรื่องนั้น ๆ กับเราได้ อยากแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและมุมมองที่คนๆนั้นมีต่อสิ่งๆหนึ่ง ไม่ว่าเรื่องนั้นจะถูกหรือผิด แต่ว่าการที่มนุษย์มีมุมมองต่อสิ่งต่าง ๆที่แตกต่างกันไป สิ่งนั้นคือเสน่ห์ของความเป็นมนุษย์ที่เราคิดว่าสิ่งมีชีวิตอื่นไม่น่าจะมี 

สิ่งที่ทำให้เรามีความสุขทุกวันนี้ก็คือการนอนอ่านนิยาย ฟังเพลงแล้วนั่งหาความหมายของมัน ดูหนังแล้วเสพศิลปะที่สื่อออกมาในงานชิ้นนั้น เล่น pubg(ซึ่งบางทีหัวร้อน) แล้วก็เขียน blogนี้แหละ

อีกความจริงที่จะบอกคือ อยากมีแฟนว่ะ ฮ่าๆๆ เพราะเราคิดว่าคนที่จะมาเป็นแฟนกันได้ทัศนะคติหรือ taste หรือมุมมองต่อโลกและผู้คนต้องคล้ายๆกัน เราเลยคิดว่าถ้ามีแฟน เราจะได้ทั้งเพื่อนที่สามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเราได้ สามารถดูแลกันและกันได้ สามารถให้ความรู้สึกที่เพื่อนจะมีให้ไม่ได้ แต่ก็ไม่รู้นะ เราก็ไม่เคยมีแฟนเหมือนกัน มีคนมาจีบบ้างประปราย แต่เราว่าคนๆนั้นกำลังหลงผิด ฮ่าๆๆ รู้สึกว่าคนที่เข้ามามันเป็นอะไรที่ฉาบฉวยมากๆ เราอยากให้คนที่มาเป็นแฟนเรา ชอบและตกหลุมรักเราเพราะเราคือเรา ไม่ใช่เข้ามาเพราะว่าเหงาหรือหาเพื่อนคุยเฉยๆ ที่ผ่านมาเราเลยไม่เคยเปิดใจให้คนที่เข้ามาเลย 

เอาเป็นว่าถ้าเราเจอคนๆ นั้นเมื่อไหร่ จะมาเล่าให้ฟังก็แล้วกัน 

ปล. ชาตินี้อาจจะไม่ได้เจอก็ได้ แต่ไม่ซี ถ้าอยู่กับใครแล้วไม่มีความสุข เราอยู่บ้านเลี้ยงนกคนเดียวดีกว่า

ปล.ความจริงมีอีกหลายๆเรื่องที่อยากเล่าแต่ไม่รู้จะเรียบเรียง จัดลำดับความคิดของตัวเองให้ออกมาเป็นตัวอักษรยังไง เอาเป็นว่าถ้ามีจะมาเขียนเพิ่มละกัน